วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระวจนะเปลี่ยนชีวิต


 ขอทรงกระทำให้พระพักตร์ของพระองค์ 
ทอแสงมาที่ผู้รับใช้ของพระองค์
และขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์
แก่ข้าพระองค์(สดด.119:135)
          “พระวจนะ” ของพระเจ้าเป็นของขวัญล้ำค่าต่อพวกเรา เป็นคู่มือชีวิตให้เราดำเนินชีวิต และปฏิบัติตาม เพื่อเกิดความสุขความเจริญทั้งด้าน กาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นสื่อจากเบื้องบนให้เราได้รู้จักกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และรับความรอดจากพระองค์ผ่านข่าวประเสริฐในพระวจนะของพระองค์(พระคัมภีร์) และเป็นสารจากสวรรค์ รากฐานความเชื่อของพวกเราก็คือการทรงสำแดงของพระเจ้า พระองค์ทรงสำแดงผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้ง 66 เล่ม 39 เล่มเขียนขึ้นก่อนที่พระคริสต์เสด็จมายังโลก อีก 27 เล่มเขียนขึ้นหลังจากนั้น ทั้งหมดนั้นคือ บันทึก การตีความ การแสดงให้เห็น และเป็นรูปแบบแห่งการเปิดเผยพระองค์เอง “พระเจ้าและความชอบธรรมแบบพระองค์” คือ แก่นเรื่องที่สอดสานเป็นเอกภาพของพระคัมภีร์ตลอดทั้ง 66 เล่ม
          ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้า(พระคัมภีร์) จึงมีฤทธิ์เดช และสำคัญยิ่งต่อชีวิตของพวกเรา พระวจนะของพระเจ้ามีฤทธิ์เดช “เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูก และไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิด และความมุ่งหมายในใจด้วย 13ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฎแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย (ฮบ. 4:12-13) พระวจนะของพระเจ้าไม่เพียงแต่เป็นคำตรัสจากพระเจ้า เป็นเครื่องมือในการสื่อสารความคิดเท่านั้น แต่พระวจนะนั้นมีชีวิต สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต มีพลังขับเคลื่อนขณะเมื่อพระคำนั้นทำงานภายในเรา เปรียบเหมือนมีดในมือศัลยแพทย์ พระวจนะเปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นใคร และเราไม่ใช่ใคร วินิจฉัยสิ่งที่อยู่ในเราทั้งดีและร้าย เราไม่เพียงต้องฟังพระวจนะ แต่ต้องยอมให้พระวจนะขัดเกลาชีวิตของเราด้วย เพราะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นจากพระเจ้าได้ พระองค์ทรงเห็นทุกอย่างที่เรากระทำและรู้ทุกอย่างที่เราคิด แม้เมื่อเราไม่รู้ตัวว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย หรือแม้เมื่อเราพยายามซ่อนจากพระองค์ พระองค์ทรงทราบเราไม่สามารถมีความลับกับพระองค์ได้    
          สดุดี หนึ่งร้อยสิบเก้า ข้อ หกสิบห้าถึงแปดสิบ ให้ข้อหนุนใจมากมายแก่พวกเราโดยเฉพาะ
ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันนั้นยากที่จะไม่เกลือกกลั้วกับสิ่งชั่วร้ายสกปรกโสมมถ้าผู้เชื่อจะ
ดำเนินชีวิตให้ดีรอบคอบนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยพระวจนะชี้ทางที่บริสุทธิ์ให้ บางครั้งเราอาจหลงทางจากลู่ทางของพระเจ้า พระองค์อาจทรงตีสอนเรา โดย ทำให้ชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เพื่อนำเรากลับมาสู่ทางอันชอบธรรมของพระองค์อีก ความทุกข์ยากลำบากในบริบทของพระคำนี้คือ การถูกติฉินนินทากล่าวซุบซิบเสียดสีของคู่อริ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะปั้นแต่งขัดเกลาให้เราได้รูปสวยงามหมดจด พระองค์จะทรงดัดแปลงอุปนิสัยของเราเรื่อยๆ เพื่อเข้าสู่สภาพสมบูรณ์ดีเลิศ การตีสอนของพระเจ้าจึงทำให้เราเข้มแข็งกว่าเดิม และรู้จักพระเจ้าได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นเหตุกระตุ้นให้แก่ผู้อื่นที่กำลังทนทุกข์อยู่ ให้ยืนกรานอดทนต่อสู้ต่อไป     
          ดังนั้นการสั่งสอนของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศ “บรรดาพระโอวาทของพระองค์ประหลาดนัก เพราะฉะนั้นจิตใจของข้าพระองค์จึงรักษาไว้ 130การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย 131ข้าพระองค์หอบจนอ้าปาก เพราะข้าพระองค์กระหายพระบัญญัติของพระองค์ 132ขอทรงหันมาหาข้าพระองค์ และมีพระกรุณาต่อข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงเคยกระทำต่อผู้ที่รักพระนามของพระองค์ 133ขอทรงให้ย่างเท้าของข้าพระองค์มั่นคงอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ ขออย่าทรงให้ความบาปผิดใดๆ มีอำนาจเหนือข้าพระองค์ 134ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นการบีบบังคับของมนุษย์ เพื่อข้าพระองค์จะปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์ 135ขอทรงกระทำให้พระพักตร์ของพระองค์ ทอแสงมาที่ผู้รับใช้ของพระองค์ และขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ 136ข้าพระองค์น้ำตาไหลพรั่งพรู เพราะคนไม่ปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์” (สดด.119:129-136) ผู้รับใช้ของพระเจ้าย่อมหิวกระหายและแสวงหาเรียนรู้พระคำของพระองค์ เมื่อมุ่งมั่นจะประพฤติตามพระโอวาทอย่างเคร่งครัด จะต้องมีชัยชนะต่อความบาปอย่างจริงจัง “หันมาหา” ความปารถนาของผู้รับใช้ต่อพระเจ้า ก็เพื่อพระองค์จะทรงหันมาหาและมอบความเมตตาไว้ด้วย การทรงนำ การไถ่ การอวยพระพร และการสั่งสอน “พระพักตร์ของพระองค์ ทอแสงมาที่ผู้รับใช้” ผู้รับใช้ที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้ จึงนำความโปรดปรานของพระเจ้ามาสู่พวกเขา พระองค์จะเงยพระพักตร์ที่สว่างของพระองค์มาเหนือพวกเขา ดังนั้นผู้รับใช้พระเจ้าจะโศกเศร้าเสมอ เมื่อผู้เชื่อไม่ได้อุทิศชีวิตของตนเองต่อพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง

“ขอพระพักตร์พระองค์ทอแสงบนผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
ด้วยความรักมั่นคงของพระองค์” (สดด.31:16)
“...และโดยความสว่างแห่งพระพักตร์พระองค์ เพราะพระองค์ทรงปีติยินดี
ในเขาทั้งหลายเหล่านั้น (สดด. 44:3)
“...ขอพระองค์ทรงให้พระพักตร์ฉายสว่างแก่ข้าพระองค์” (สดด.67:1)

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/


วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสุดท้าย)

          “ เพราะว่า พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย 8 พระองค์ผู้ทรงแก้แทนข้าพเจ้าก็อยู่ใกล้ ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า ก็ให้เรายืนอยู่ด้วยกัน ใครเป็นปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า ก็ให้เขามาใกล้ข้าพเจ้า 9 ดูเถิด พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้าว่ามีความผิด ดูเถิด บรรดาเขาทุกคนจะร่อยหรอไป เหมือนอย่างเสื้อผ้า ตัวแมลงจะกินเขาเหล่านั้นเสีย ” (อสย.50:7-9) ความเข้มแข็งของผู้รับใช้ เป็นผลของการฝึกฝนและการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตามข้อพระคัมภีร์อิสยาห์บทที่ห้าสิบข้อสี่ถึงหก ที่ได้ใคร่ครวญไปนั้นพระคำนี้เผยให้เราทราบว่า “เคล็ดลับของความเข้มแข็งภายในตัวเรานั้น ก็คือความรู้แน่แก่ใจตนเองว่า “ องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือเรา ” พระคำข้างบนนี้น่าจะเป็นที่หนุนใจของ ลูกา และเปาโล เมื่อลูกาบันทึกข้อพระคำว่า“...พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม” (ลก.9:51) ลูกาน่าจะกำลังคิดถึงอิสยาห์บทที่ห้าสิบข้อเจ็ด “...ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ...” เปาโลก็น่าจะได้รับการหนุนใจจากอิสยาห์บทที่ห้าสิบข้อเจ็ดถึงเก้านี้เช่นกัน เมื่อบันทึกในโรมที่ว่า “ และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย 31 ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา 32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ 33 ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว 34 ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย 35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลาย ขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ 36 ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า 37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้น โดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย  38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลาย ขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ ” (รม.30-39) จะเห็นได้ว่าวิธีการเขียนเป็นไปในแนวเดียวกันกับอิสยาห์คือ เป็นการพูดถึงความเข้มแข็งภายในโดยใช้วิธีตั้งคำถามว่า “ ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครจะขัดขวางเราได้ ” คริสเตียนทุกยุคทุกสมัยมั่นใจ ยืนหยัด ยอมเสี่ยงเพื่อความเชื่อของตนเอง เพราะแน่ใจว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
          “ เชื่อวางใจในพระเจ้าทั้งวันนี้และวันพรุ่งนี้ ” ...พระเจ้าทรงสัญญาแก่เราทุกคนที่รูสึกอ่อนแอว่า“ ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั้น... ” (2คร.12:9) พวกเรามีพระบิดาเจ้าผู้สถิตอยู่กับเราเสมอ พระองค์จะประทานกำลังอย่างเพียงพอให้แก่เราในการอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ความสามารถของเราจะมากหรือน้อยในการอดทน จึงไม่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเราจะได้รับการหนุนจิตชูใจจากพระคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราต้องฝึกฝนการวางใจ ในพระสัญญาของพระเจ้าตั้งแต่วันนี้ โดยนึกถึงพระสัญญาของพระองค์เสมอ พระองค์ตรัสว่า

- “...เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย ” (ฮบ.13:5)
- “ อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเรา
เป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า
เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา ” (อสย.41:10)

เพราะฉะนั้นอย่าย่อท้อต่อ“การฝึกพูด การฝึกฟัง และการฝึกทนทุกข์(อดทน)เพื่อหล่อหลอมเป็นผู้รับใช้

“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสี่)

          3. การฝึกหลังให้ยอมถูกโบยตี(ยอมรับความทุกข์ยากลำบาก) “พระเจ้าได้ทรงเบิกหูข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ดื้อดัน ข้าพเจ้าไม่หันกลับ 6 ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่คนที่ดึงเคราข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่หนีหน้า จากความอายแก่การถ่มน้ำลายรด” (อสย.50:5-6) กระบวนการอบรมสั่งสอนซึ่งเริ่มด้วย การฝึกพูด ไปสู่ การฝึกฟัง และไปสู่ การฝึกทนทุกข์(อดทน) บททดสอบขั้นสุดท้ายของการเป็นผู้รับใช้คือ “การยอมทนต่อความทุกข์ลำบาก” คริสเตียนในยุคแรกๆ มักจะถูกนำขึ้นสู้คดีในศาล และถูกตัดสินลงโทษด้วยการถูกโบยตี เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสอนผู้รับใช้ว่า การเรียนรู้ที่จะยอมรับการโบยตีด้วยความยินดีนั้น ถือว่าเป็นการรับใช้พระเจ้า “...และเมื่อได้ให้โบยตีพระเยซูแล้ว ก็มอบให้เขาเอาไปตรึงไว้ที่กางเขน” (มก.15:15) องค์พระเยซูคริสต์ก็ถูกกระทำเช่นนี้เหมือนกัน และในกาลต่อมาเปาโลซึ่งเป็นอัครสาวกก็ถูกทำร้ายเช่นกัน “พวกยูเดียเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆ ละสามสิบเก้าที 25 เขาตีข้าพเจ้าด้วยตะบองสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง” (2คร.11:24-25)ผู้รับใช้ปัจจุบันอาจต้องเรียนรู้ที่จะยินยอมถูกทรมานร่างกาย หรือยอมรับความยากลำบากต่างๆ เพื่อเห็นแก่คนอื่น และด้วยความเชื่อฟังพระเจ้า อาจจะไม่ใช่ความทุกข์จากร่างกายอย่างเดียว แต่อาจจะรับทุกข์ทางใจด้วย นั้นคือได้รับการดูถูกเหยียดหยาม หรือทำให้เสียเกียรติ ชื่อเสียง และสุขภาพจิต ผู้รับใช้สมควรต้องเรียนรู้ที่จะอดทนต่อเหตุการณ์เหล่านี้ เพราะนั้นเป็นการเชื่อฟังพระเจ้า ในบทที่สองของพระธรรมสองทิโมธีนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สอนผ่านการหนุนใจของเปาโลที่มีต่อทิโมธีโดยกำชับให้ทนทุกข์เพื่อข่าวประเสริฐ “จงทนการยากลำบากด้วยกัน กับทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์ 4 ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการแล้ว จะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ” (2ทธ.2:3-4) เปาโลเปรียบผู้รับใช้เป็นทหารเพื่อเน้นว่า ผู้รับใช้ต้องเป็นคนที่อุทิศตัว ยอมทนทุกข์ และมีใจแน่วแน่ในการทำหน้าที่   ทหารยามรบย่อมถือว่าความยากลำบาก การเสี่ยงภัย และการทนทุกข์เป็นของธรรมดาที่ต้องพบ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทหาร   ฉันใดฉันนั้น คริสเตียนก็ไม่ควรหวังว่าจะมีชีวิตที่สบาย ถ้าเขาจริงจังกับข่าวประเสริฐ เขาก็ต้องเผชิญการต่อต้านและดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ทหารต้องไม่ไปพัวพันกับงานฝ่ายพลเรือน คือไม่พัวพันกับสิ่งใดที่อาจขัดขวางมิให้เขาต่อสู้เพื่อพระคริสต์อย่างเต็มที่   ประเด็นนี้อาจเป็นคำแนะนำที่เจาะจงสำหรับผู้รับใช้เต็มเวลาไม่ควรต้องแบกภาระการเลี้ยงชีพโดยทำงาน ฝ่ายโลกเพื่อเขาจะได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดทำหน้าที่และจดจ่อศึกษาพระวจนะโดยไม่วอกแวก นอกจากนั้นการทนทุกข์ก็เป็นเงื่อนไขของพระพร “ จงระลึกถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น 9 และเพราะเหตุข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์ ถูกล่ามโซ่ตั้งผู้ร้าย แต่พระวจนะของพระเจ้านั้น ไม่มีผู้ใดเอาโซ่ล่ามไว้ได้ 10 เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงยอมทนทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกไว้นั้น เพื่อเขาจะได้รับความรอด ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ พร้อมทั้งศักดิ์ศรีนิรันดร์ 11 ข้อนี้เป็นความจริง คือ ถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ 12 ถ้าเรามีความอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ ถ้าเราไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับเราเช่นเดียวกัน 13 ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริง เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์เองไม่ได้ ” (2ทธ.8-13) ในพระคำนี้เปาโลยกประสบการณ์จริง 3 ประการมาชี้ให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งสูงค่าใดที่ได้มาโดยง่ายดังนี้  
          ประการแรกคือ ประสบการณ์ของพระคริสต์   การที่พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตายบ่งว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนการที่ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิดบ่งว่าพระองค์เป็นมนุษย์และเป็นพระมหากษัตริย์   ประสบการณ์การสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ของพระคริสต์ชี้ให้เห็นว่า ความตายเป็นประตูสู่ชีวิตและการทนทุกข์เป็นหนทางสู่สง่าราศี ประการที่สอง ประสบการณ์ของเปาโล   เปาโลประกาศข่าวประเสริฐเพื่อให้คนที่พระเจ้าทรงเลือกได้รับความรอด   ประสบการณ์ของเปาโลแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครประกาศข่าวประเสริฐได้โดยไม่ต้องทนทุกข์ และประการสุดท้าย ประสบการณ์ของคริสเตียนทุกคน   เราจะได้ชีวิตร่วมกับพระคริสต์ในสวรรค์ก็ต่อเมื่อเรามีส่วนร่วมกับความตายของพระองค์ในโลกนี้ และเราจะได้ครอบครองกับพระคริสต์ในวันหน้าก็ต่อเมื่อเรามีส่วนร่วมทนทุกข์กับพระองค์ในวันนี้ ดังนั้นบางครั้งชีวิตเราอาจจะไม่สะดวกสบาย และไม่น่าจะสัญญากับคนอื่นๆ ว่าชีวิตเขาจะไร้ปัญหาเมื่อติดตามรับใช้องค์พระเยซูคริสต์ เราสามารถอุทิศชีวิตของเราไห้กับพระองค์ได้ โดยเริ่มต้นที่จะปรับตัวปรับใจฝึกพูด ฝึกฟัง และฝึกอดทน ใช้ชีวิตทุกวันเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ ใช้ชีวิตที่ให้สมกับโลหิตที่พระองค์ทรงหลั่งเพื่อเรา ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ให้กับทุกคนได้รับรู้ สมกับที่กล่าวว่า “ ...เป็นผู้อุทิศชีวิตของตน เพื่อพระนามแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ” (กจ.15:26)

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/


วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสาม)

                    2. การฝึกหูให้ตื่นในการฟัง “...ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า เพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน” (อสย 50:4) ผู้รับใช้จะต้องเรียนรู้ที่จะให้องค์พระผู้เป็นเจ้าปลุกหู เพื่อจะได้ยินว่าพระองค์กำลังตรัสกับเขาทางไหนและอย่างไร “การฟัง” เป็นการรับรู้ การเข้าใจจับประเด็น และแปลความหมายจากเสียงที่เป็นคำพูด สัญญาณต่างๆ ที่สื่อสารกัน ได้ถูกต้อง นักวิชาการได้อธิบายว่า “ การฟังนั้นต่างจากการได้ยิน ซึ่งเป็นการรับรู้อย่างหนึ่งของร่างกาย โดยอาศัยโสตประสาทเป็นเครื่องรับรู้ แต่การฟังนั้นเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างตั้งใจของระบบประสาท ซึ่งจะต้องประกอบด้วย การได้ยิน การรับรู้หรือสัญชาตญาณ การจำได้ และความเข้าใจ หมายความว่า ในการฟังนั้นต้องมีการรับสารและตีความหมายของสารที่ได้ยินนั้นด้วย การฟังจึงนับว่า เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้ฟังต้องใช้ทักษะ ไหวพริบ และความคิดเป็นสำคัญ ในชีวิตประจำวันคนเรามักใช้การฟังในการสื่อสารบ่อยครั้งมากพอๆกับทักษะในการสื่อสารอย่างอื่น การฟังช่วยให้เรารับรู้สิ่งที่ได้ยินแล้ว สามารถตีความและจับใจความสิ่งที่รับรู้นั้น สามารถเข้าใจและจดจำไว้ได้ ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อยๆ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าต้องฝึกตลอดชีวิต เพื่อเพิ่มทักษะการฟังนี้ให้สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการฝึก ผู้รับใช้ต้องฝึกฝนที่จะฟัง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจจะตรัสกับผู้รับใช้ ทางเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน อาจจะได้ยินพระองค์ตรัสจาก “การสังเกตธรรมชาติและการดำเนินชีวิตของมนุษย์” จาก “การเรียนรู้พระคัมภีร์”จาก “วิกฤตส่วนตัวและวิกฤตของบ้านเมือง” ในความฝัน ในนิมิต ในถ้อยคำของพี่น้อง หรือในความคิดของตนเอง สาวกในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้จากพระองค์ เรียนรู้ที่จะฟังพระสุรเสียงของพระองค์อย่างไรจึงจะเข้าใจสิ่งที่ได้ยิน และปฏิบัติตามได้อย่างไร เพื่อรับพระบัญชาอย่างชัดเจน ทุกๆเช้าพระเจ้าทรงปลุกหูพวกเราในการภาวนา อธิษฐาน หรือในการสำรวมใจเฝ้าเดี่ยว
          พระสุรเสียงของพระเจ้า...“ ข้าแต่เทวชีพทั้งหลาย จงถวายแด่พระเยโฮวาห์เถิดจงถวาวพระสิริ และพระกำลังแด่พระเจ้า 2จงถวายพระสิริ ซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระเจ้าจงประดับกายด้วยเครื่องบริสุทธิ์ นมัสการพระเจ้า 3  พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่เหนือน้ำ พระเจ้าแห่งพระสิริทรงคะนองเสียง คือ พระเจ้าเหนือน้ำทั้งหลาย 4พระสุรเสียงของพระเจ้า ทรงฤทธานุภาพ พระสุรเสียงของพระเจ้า เต็มด้วยความสูงส่ง 5พระสุรเสียงของพระเจ้า หักต้นสนสีดาร์พระเจ้าทรงฟาดต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน 6พระองค์ทรงกระทำให้เลบานอนกระโดดเหมือนลูกวัว และสีรีออนเหมือนวัวกระทิงหนุ่ม 7พระสุรเสียงของพระเจ้า แวบออกมาเป็นเปลวเพลิง8พระสุรเสียงของพระเจ้า สั่นถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงสั่นป่าดงแห่งเมืองขาเดช 9พระสุรเสียงของพระเจ้า กระทำให้กวางตัวเมียตกลูก และทำให้ป่าดงโหรงเหรง และในพระวิหารของพระองค์ทุกคนร้องว่า "พระสิริ" 10พระเจ้าประทับเหนือน้ำท่วม พระเจ้าประทับเป็นพระราชาเป็นนิตย์11ขอพระเจ้าประทานพระกำลังแก่ประชากรของพระองค์ ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ประชากรของพระองค์ให้มีสันติภาพ (สดด.29:1-11) กษัตริย์ดาวิดดำรงชีพเป็น นักรบแบบกองโจร เป็นพวกอยู่นอกกฎหมาย  ต้องอดทน  ไม่ได้รับการยอมรับ พระองค์ใช้วิธีการเอาตัวรอดในช่วงที่ซาอูลไล่ล่าพระองค์  กษัตริย์ดาวิดต้องไปพึ่งพาชาวฟิลิตเตีย ไปอาศัยชั่วคราว หลังจากซาอูลเสียชีวิต พระองค์ก็ได้ เป็นกษัตริย์ การครองอาณาจักรของพระองค์มาจากลักษณะที่แตกต่างจาก อาณาจักรของซาอูล ซาอูลมาจากผู้นำที่เป็นแบบบารมีอำนาจ ไม่มีฐานการสนับสนุนอย่างมั่นคงจากเผ่าต่างๆ ซาอูลไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแท้จริงและไม่มีการบริหารที่ได้ผล ตรงกันข้ามกับกษัตริย์เดวิด ที่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และการบริหารที่ได้ผล  แต่พระองค์ก็ ไม่ได้เป็นกษัตริย์ที่มีบารมีอำนาจ  แต่รูปแบบการปกครองของพระองค์ “มาจากพระเจ้า โดยพระเจ้า และของพระเจ้า” พระองค์เป็นนักรบได้รับการสนับสนุนจากทหารในเผ่า และพี่น้องเผ่าอื่นๆ ด้วยกษัตริย์ดาวิด เป็นผู้รับใช้ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า พระองค์ไม่ทำให้พระเจ้าผิดหวัง พระองค์เชื่อฟัง รับใช้พระเจ้า แม้ว่าพระองค์จะหลงผิดไปบ้างแต่ก็ถ่อมใจสารภาพต่อพระเจ้า ในพระธรรมสดุดีบทที่ 29 กษัตริย์ดาวิดบรรยายภาพการตรัสของพระเจ้าให้เราเห็นได้อย่างชัดเจน พระองค์ต้องการดึงความสนใจของเราไปที่ความยิ่งใหญ่ พระเกียรติสิริ และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระคุณ และการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง สมควรจะได้รับการนมัสการอย่างเต็มศักดิ์ศรีแต่องค์เดียว พระองค์ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ และพระองค์ประสงค์ที่จะตรัสกับเราเป็นการส่วนตัว “ ขอให้ข้าพระองค์ได้ฟังความที่พระเจ้าจะตรัส เพราะพระองค์จะตรัสความสันติแก่ประชากรของพระองค์ แก่ธรรมิกชนของพระองค์ แต่อย่าให้เขาทั้งหลายหันกลับ ไปสู่ความโง่อีก 9แน่ทีเดียวที่ความรอดของพระองค์ อยู่ใกล้คนที่เกรงกลัวพระองค์ เพื่อพระสิริจะอยู่ในแผ่นดินของข้าพระองค์ทั้งหลาย 10ความรักมั่นคง และความสัตย์สุจริตจะพบกัน ความชอบธรรม และสันติภาพจะจุบกันและกัน 11ความสัตย์สุจริตจะงอกขึ้นมาจากแผ่นดิน และความชอบธรรมจะมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ 12เออ พระเจ้าจะประทานสิ่งที่ดีๆ และแผ่นดินของข้าพระองค์ทั้งหลายจะเกิดผล 13ความชอบธรรมจะนำหน้าพระองค์ และกระทำให้รอยพระบาทของพระองค์เป็นทางเดิน ” (สดด.85:8-13)     “...ข้าพระองค์ได้ฟังความที่พระเจ้าจะตรัส...”
การเอาใจใส่ในการฟังพระเจ้าด้วยท่าทีนี้จะไม่ไร้ผล หากมนุษย์ฟัง พระเจ้าจะทรงตรัส หากมนุษย์เชื่อฟัง พระเจ้าจะทรงลงมือจัดการ ไม่ใช่เราเสนอความคิดต่อพระเจ้า แต่พระองค์จะชี้แนะเรา สิ่งที่เราต้องการเหนือสิ่งอื่นใดคือ เรียนรู้ที่จะฟังพระเจ้า ไม่ว่าชีวิตเราจะอยู่ในสภาพการณ์เช่นใด และเรารู้สึกอย่างไร สิ่งเดียวที่สาคัญ คือการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และยอมรับพระคำของพระองค์
          พระเจ้าตรัสกับกับเราทางพระคำ (2 ทิโมธี 3:16-17) พระเจ้าตรัสผ่านอิสยาห์ว่า คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น (อสย.55:11)  พระคัมภีร์บันทึกพระคำของพระเจ้าที่มีมาถึงเรา เกี่ยวกับทุกอย่างที่เราอยากรู้เพื่อที่เราจะได้รับความรอดและใช้ชีวิตแบบคริสเตียนได้ ดังนั้น ด้วยเห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เรา ที่จะให้มีชีวิตและมีธรรมโดยรู้จักพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยเหตุเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรม ที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์ (2ปต.1:3-4) นอกจากนั้น พระเจ้าตรัสกับเราทางความรู้สึกที่ฝังอยู่ในความทรงจำ, ทางเหตุการณ์ต่างๆ และทางความคิด พระเจ้าทรงช่วยให้เรารู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก โดยทางความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของเรา (1ทธ.1:5; 1ปต.3:16) พระเจ้าทรงอนุญาตให้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเราเพื่อที่จะได้ทรงนำเรา เปลี่ยนแปลงเรา และช่วยให้เราโตขึ้นฝ่ายวิญญาณ (ยก.1:2-5; ฮบ.12:5-11) ใน 1 เปโตร 1:6-7 เตือนเราว่า ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ 


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสอง)

          อิสยาห์ มีชีวิตอยู่ในช่วงที่อิสราเอลแบ่งออกเป็นสองอาณาจักร อาณาจักรภาคเหนือเรียกว่า “อิสราเอล” เมืองหลวงคือ “กรุงสะมาเรีย” อาณาจักรใต้เรียกว่า “ยูดาห์” เมืองหลวงคือ “กรุงเยรูซาเล็ม” อาณาจักรเหนือใหญ่กว่ามีพลเมืองมากกว่า เป็นอาณาจักรที่ไม่ถือตามศาสนาเดิมที่พระเจ้าได้ประทานไว้เมื่อสมัยโมเสส อิสยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะและเป็นที่ปรึกษากษัตริย์ฝ่ายยูดาห์ อิสยาห์เริ่มประกาศพระวจนะในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สวรรคต (740 ก่อน ค.ศ.) และเขาได้รับใช้พระเจ้าเรื่อยมาอีกหลายสิบปี ผ่านรัชสมัยกษัตริย์โยธาร อาหัส และเฮเซคียาห์ อิสยาห์เป็นคนซื่อตรง กล้าที่จะกล่าวโทษพวกคนร่ำรวย และพวกมีอิทธิพลที่กดขี่ขูดรีดคนยากจน
                   “ความลำเอียงของเขาเป็นพยานปรักปรำเขาทั้งหลาย เขาป่าวร้อง
                   ความผิดของเขาอย่างโสโดม เขามิได้ปิดบังไว้ วิบัติแก่เขา เพราะว่า
                   เขาได้นำความชั่วร้ายมาเหนือตัวเขาเอง 14 พระเจ้าทรงเข้าพิพากษา
                   พวกผู้ใหญ่ และเจ้านายชนชาติของพระองค์ "เจ้าทั้งหลายนี่แหละซึ่ง
                   ได้กลืนกินสวนองุ่นเสีย ของที่ริบมาจากคนจนก็อยู่ในเรือนของเจ้า
                   15 ซึ่งเจ้าได้บีบคั้นชนชาติของเรา และได้บดบี้หน้าของคนจนนั้น
                   เจ้าหมายความว่ากระไร" พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ”  (อสย. 3:9,14-15)
อิสยาห์รักพระเจ้ามาก และเชื่อมั่นในพระองค์ ทั้งพยายามที่จะให้กษัตริย์ของยูดาห์ เชื่อมั่นในพระองค์ด้วย
                    “จงมัดถ้อยคำพยานเก็บไว้เสีย และจงตีตราพระโอวาทไว้ใน
                   หมู่พวกสาวกของข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเจ้า ผู้ทรงซ่อน
                   พระพักตร์ของพระองค์จากเชื้อสายของยาโคบ และข้าพเจ้าจะหวังใจ
                   อยู่ที่พระองค์” (อสย. 8:16-17)
นอกจากนั้น อิสยาห์ ได้อบรมสั่งสอนพวกลูกศิษย์เพื่อที่จะได้มีกลุ่มผู้เชื่อที่เข้มแข็งท่ามกลางประชาชนที่ลืมพระเจ้า    ส่วนหนึ่งที่อิสยาห์อบรมผู้รับใช้ คือ “การนำพระวจนะมาหนุนใจ และชูกำลังใจผู้อื่น”
          “พระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามี ลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชู ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า เพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน 5 พระเจ้าได้ทรงเบิกหูข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ดื้อดัน ข้าพเจ้าไม่หันกลับ 6 ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่คนที่ดึงเคราข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่หนีหน้า จากความอายแก่การถ่มน้ำลายรด 7 เพราะว่า พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย 8พระองค์ผู้ทรงแก้แทนข้าพเจ้าก็อยู่ใกล้ ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า ก็ให้เรายืนอยู่ด้วยกัน ใครเป็นปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า ก็ให้เขามาใกล้ข้าพเจ้า 9 ดูเถิด พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้าว่ามีความผิด ดูเถิด บรรดาเขาทุกคนจะร่อยหรอไป เหมือนอย่างเสื้อผ้า ตัวแมลงจะกินเขาเหล่านั้นเสีย” (อสย 50:4-9)
          อิสยาห์ สั่งสอนผู้ที่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า พวกเขาต้องฝึกฝนสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เกิดประสบการณ์เรียนรู้ที่จะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งเหล่านั้นคือ
                   1. การฝึกบังคับลิ้น พระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามี ลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชู ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ... (อสย 50:4) พระคัมภีร์กล่าวอะไรเกี่ยวกับลิ้นบ้าง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสอนผ่าน อ.ยากอบ ว่า “ ดูก่อน พี่น้องของข้าพเจ้า อย่าให้เป็นอาจารย์กันมากหลายคนเลย เพราะท่านก็รู้ว่า เราทั้งหลายที่เป็นผู้สอนนั้น จะได้รับการทรงพิพากษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น 2 เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดไปหลายๆ อย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย 3 ถ้าเราเอาบังเหียนใส่ปากม้า เพื่อให้มันเชื่อฟังเรา เราก็บังคับมันให้ไปไหนๆ ได้ทั้งตัว 4 จงดูเรือด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเป็นเรือใหญ่ และถูกลมแรงพัดแล่นไป เรือก็ยังหันไปมาด้วยหางเสือเล็กๆ ตามใจนายท้ายที่จะให้ไปทางไหน 5 ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็กๆ และอวดอ้างเรื่องใหญ่ๆ จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาป่าใหญ่ให้ไหม้ได้หนอ 6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกที่ไร้ธรรมในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทินไป ทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟโดยนรก 7 เพราะสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ในทะเลก็เลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว 8 แต่ลิ้นนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่ว ที่อยู่ไม่สุข และเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย 9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์ 10 คำสรรเสริญ และคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น 11 บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืด และน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ 12 พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อ จะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย 13 ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาด และมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตน ด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา 14 แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยา และมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวด และทรยศต่อความจริง 15 ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลก และเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ 16 เพราะว่า ที่ใดมีความริษยา และความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวาย และมีการกระทำชั่วช้า ลามกต่างๆ 17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพ และว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตา และผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด 18 ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม” (ยก.3:1-18) พระคำนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าลิ้นเป็นอวัยวะเล็กๆ ในร่างกายของเรา แต่มันก็มีอำนาจ โดยลิ้นนี่เองที่ร่างกายทั้งหมดอาจจะเป็นมลทินได้ คนไม่สามารถทำให้ลิ้นเชื่องได้ แต่หากเราเพียงแต่มอบลิ้นของเราแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า นั้นแหล่ะจึงจะควบคุมมันไว้ได้ “พระองค์ทรงทำปากของข้าพเจ้าเหมือนดาบคม พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำข้าพเจ้าให้เป็นลูกศรขัดมัน พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้เสียในแล่งของพระองค์” (อสย 49:2) องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสอนผ่านอิสยาห์ ว่า พระเจ้าจะทรงช่วยผู้รับใช้ให้กล่าวพระคำได้อย่างคมคาย “มีบางคนที่คำพูดพล่อยๆ ของเขาเหมือนดาบแทง แต่ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้ ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย” (สภษ.12:18;15:4) ข้อนี้เป็นพระพร และความสามารถที่จะหนุนใจผู้เหนื่อยอ่อน และผู้ท้อใจด้วยคำพูดที่รักษาบาดแผล และเป็น “ต้นไม้แห่งชีวิต” เพื่อพวกเขาด้วย ดังนั้นหน้าที่หลักของผู้รับใช้ก็คือ การลงมือกระทำด้วยการเสาะแสวงหาผู้ที่เหนื่อยอ่อน ท้อใจ และนำข่าวดีแห่งความรอดของพระเจ้าไปบอกพวกเขา ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ 40-50 ได้ให้ภาพของผู้เหนื่อยอ่อน ท้อใจ เช่น “ไม้อ้อซ้ำ” “ไส้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่” (อสย.42:3) คนที่อยู่ในคุกหรือในความมืด (อสย.42:7) “คนจนและคนขัดสน” (อสย.41:17) ตอข้าวที่ถูกพัดไป (อสย.41:2) ในพันธสัญญาใหม่องค์พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของผู้รับใช้ที่ เราจะต้องศึกษาและตั้งใจเรียนรู้จากพระองค์ พระองค์ตรัสคำหนุนใจแก่ ผู้ที่เหนื่อยอ่อน ท้อใจ หลายครั้ง เช่น "ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย" (มก.6:50) “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง" (มก.9:23) “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อย
เป็นสุข” (มธ.11:28) เป็นต้น


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ (ตอนแรก)


เพราะว่า พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ
และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย
อสย 50:7

          เมื่อ เปโตร เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ใหม่ๆ นั้น เขาเป็นคนใจร้อนหุนหันพลันแล่น และประสบกับความยุ่งยากอยู่เสมอ นอก
จากนั้นเปโตรยังเป็นคนขี้ขลาดตาขาวอยู่ด้วย เขาไม่ยอมรับต่อหญิงรับใช้ว่า เขาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์(มธ.26:71-72) แต่ต่อมาภายหลัง     เปรโตกลายเป็นคนกล้าหาญ และไม่เกรงกลัวแม้จะถูกเฆี่ยนตีและจำคุก เพราะพระนามของพระเยซูคริสต์ เปโตรได้เจริญรอยตาม
พระบาทของพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด “เพราะว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก” (รม.8:29) นั้นหมายความว่า การที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนของพระองค์ไว้ ก็เพื่อให้เราเจริญรอยตามแบบพระฉายาของพระเยซูคริสต์ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พระเจ้าจะทรงกระทำให้เราเป็นเหมือนพระองค์ พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นผู้ที่บริบูรณ์ในการทุกสิ่ง ตรงกันข้ามกับเราที่ยังคงเป็นคนบกพร่องผิดบาป อยู่ห่างไกลจากความดีครบถ้วน สุดที่จะประมาณได้
          เป้าหมายของการเป็นผู้นำคือ “การเป็นผู้รับใช้” ความสามารถในการนำนั้นไม่ใช่เอาแต่ออกคำสั่ง เจ้านายมักจะ “บอก” ลูกน้องว่าจะทำอย่างไร แต่ผู้นำจะ “แสดง” ให้ลูกน้องเห็นว่าควรทำอย่างไร ดังนั้นการรับใช้จึงเป็นสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งในการเป็นสาวก เพราะเรามักชอบให้คนอื่นมาเอาใจปรนนิบัติ มีน้อยคนชอบรับใช้คนอื่น อย่างไรก็ตาม การรับใช้ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องพึงปฏิบัติในการเป็นสาวก เพื่อสำแสดงความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อเพื่อนพี่น้องและผู้อื่น พวกเราทุกคนที่เรียนรู้พระคำของพระเจ้าอยากให้คนอื่นเรียกเราว่า “ผู้รับใช้” แต่มีสักกี่คนที่จะปฏิบัติตนเป็นผู้รับใช้ จริงๆในฐานะที่เป็นคริสเตียน เมื่อมีใครเรียกว่า “ผู้รับใช้” เท่ากับว่าเป็นการให้ความเคารพอย่างสูง แต่เมื่อมีคนมาใช้อย่าง “คนรับใช้” กลับรู้สึกเหมือนกับถูกเหยียดหยาม ทั้งๆที่ ทุกคนต้องถูกเรียกว่า “เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์” แต่กับต่อต้านการปรนนิบัติรับใช้เช่นนี้เสียแล้ว
          เมื่อเราเริ่มต้นช่วยคนๆ หนึ่งให้มีชีวิตเป็นคริสเตียน เขาจะทำตามเราเหมือนเด็กที่ทำตามพ่อแม่โดยธรรมชาติ และเขาจะเป็นอย่างที่เราเป็น ไม่ใช่เหมือนที่เราพูดและสอนเขา ดังนั้นการกระทำของเราจึงมีความสำคัญในการเป็นแบบอย่างของเขา อุทาหรณ์หลายอย่างจากพระคัมภีร์เป็นพยานว่า มนุษย์ได้จำลองสิ่งต่างๆ ตามแบบของผู้ที่เขาใกล้ชิด แสดงออกมาเป็นการกระทำ อับราฮัมเปลี่ยนฐานะภรรยามาเป็นน้องสาว เพื่อให้ตนเองปลอดภัย(ปฐก.20:2) บุตรชายของเขา คือ อิสอัค ก็ทำสิ่งเดียวกัน(ปฐก.26:7)พระคัมภีร์จารึกไว้ว่า เอลีมหาปุโรหิต เลี้ยงดูบุตรไม่เป็น(1ซมอ.2:12-17) แต่เขาก็จำลองลักษณะเช่นนี้สู่ชีวิตลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อ ซามูเอล ด้วย(1ซมอ.8:1-5)  ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องเป็นแม่แบบให้สาวกของเรา ตามที่เราต้องการ และมั่นใจได้ว่า เราต้องถ่ายทอดสิ่งที่เราเป็นเข้าสู่ชีวิตของเขาแน่นอน     


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสุดท้าย)

          4. ควรจำนนต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์อย่างสุดใจ
                   หนุนใจเสริมให้เขา ยอมจำนนและพึ่งพาองค์พระผู้เป็นเจ้า  เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารและร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยวหรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวลแล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้?[b]28 แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม?จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้นเราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ31 ฉะนั้นอย่ากังวลว่า เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม?’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้าขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย 34 เพราะฉะนั้นอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว (มธ.6:25-34) จงอย่ากังวลเราควรยอมมอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้า ผู้ทรงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิติและสถานการณ์ของเราได้อย่างอัศจรรย์ พระองค์ย้ำกับเราเสมอว่าให้เราวางภาระ และความกังวลทั้งสิ้นของเราไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรัก ห่วงใย และต้องการจะช่วยเราจริงๆ เพียงแต่เราต้องยอมที่จะฟัง และรับความช่วยเหลือจากพระองค์อย่างเต็มใจ
          “แต่ละคนควรสำรวจการกระทำของตนเองจึงจะมีข้อภาคภูมิใจในตัวเอง โดยไม่ต้องเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะว่าแต่ละคนต้องแบกภาระของตัวเอง”(กท.6:4-5) อย่าไปเปรียบเทียบชีวิตของตนกับผู้อื่นเลย ซึ่งมีหลายคนเชื่อว่าเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจและสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกอยุติธรรมนี้ได้ ก็คือการมองผู้อื่นที่ลำบากหรือด้อยกว่าเรา จริงอยู่อาจช่วยได้ชั่วขณะหนึ่ง ลองถามตนเองว่าวิธีนี้ช่วยเราได้จริงๆ หรือ ทำไมเราไม่ทำวิธีที่กลับกันคือมองขึ้นไปข้างบนเหนือกว่าเรานั้นคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ผู้พร้อมที่จะช่วยเหลือเราเสมอ และพระองค์ก็มีวิธีการที่จะช่วยเหลือ คนของพระองค์แตกต่างกันด้วย  ดั่งพระสัญญาที่ว่า  ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”(อสย.55:9) พวกเราทุกคนต้องช่วยเหลือพี่น้องเหล่านี้ ไม่ใช่ซ้ำเติม เพราะเราทุกคนต่างเป็นอวัยวะที่อยู่ในพระกายเดียวกันเมื่ออวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย(1คร.12:12) ไม่ใช่หรือ?
                 ทำไมหนอจึงยังให้แสงสว่างแก่ผู้ที่ทุกข์ลำเค็ญ และให้ชีวิตแก่ผู้ที่ขมขื่นในดวงวิญญาณ? 21 แก่ผู้ที่กระหายหาความตายแต่ไม่พบ ทั้งๆ ที่เขาเสาะหามันยิ่งกว่าขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ 22 ผู้เต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์ และชื่นชมยินดีเมื่อพวกเขาได้ไปถึงหลุมฝังศพ 23 ทำไมยังให้ชีวิต กับชายจนตรอก ผู้ที่พระเจ้าทรงปิดทางออกของชีวิตไว้? 24 เพราะการทอดถอนใจมาถึงข้าแทนข้าวปลาอาหาร เสียงครวญครางของข้าพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำ25 สิ่งที่ข้ากลัวได้มาถึงข้า สิ่งที่ข้าหวาดหวั่นเกิดขึ้นกับข้าแล้ว26 ข้าไม่มีสันติสุข ไม่มีความสงบ ข้าไม่ได้พักผ่อน มีแต่ความวุ่นวายเท่านั้น (โยบ3:21-26) โยบใคร่ครวญว่าทำไมคนเหล่านั้นที่ทุกใจยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำไหมผู้ที่ทุกข์ทรมานอย่างนี้ ยังได้รับแสงสว่าง และผู้ที่มีใจขมขื่นได้รับชีวิต โยบรู้สึกว่าในตัวของเขามืดมิดมาก แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังส่องสว่างบนตัวเขา เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ปล่อยให้เขาตายไปเสีย โยบรู้สึกว่าราวกับว่าพระเจ้ากักขังเขาไว้เพื่อให้แน่นใจว่าเขาจะไม่ตาย มีชีวิตเหมือนอยู่ในคุกมืด พระเจ้าป้อนความเจ็บปวดและน้ำตาให้แก่เขา พระองค์จะไม่ปล่อยเขาได้พักสงบ นี้เป็นจุดทดสอบความเชื่อของโยบเป็นอย่างมาก เขาระมัดระวังเสมอที่จะไหว้วัตถุสิ่งของ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนการทรงสถิตและความโปรดปรานของพระเจ้า ได้ละออกห่างจากตัวเขาไป โยบเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่โยบก็ไม่ได้แช่งสาปพระเจ้า เขายังอธิษฐานต่อพระองค์เพื่อทูลขอพระเมตตา และการปลดปล่อย(โยบ6:8-9)  เพราะ38 ...ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว[n]ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (รม.8:38-39) มนุษย์มีขีดจำกัดที่จะเข้าใจน้ำพระทัยแห่งความรักของพระเจ้าได้ โดยพระสัญญาของพระองค์ที่ถ่ายทอดจากการสอนของอ.เปาโลนั้น พระองค์สอนว่าไม่มีอะไรพรากเราไปจากความรักชองพระเจ้าได้
          โดยภาพรวมของพระคำตอนนี้มุ่งหนุนจิตชูใจเราให้ ประพฤติตนเป็นเพื่อนที่ดี เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มองตนเองอย่างมีคุณค่า  มอบถวายชีวิตให้แก่พระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอย่างไรต่อชีวิตก็ตาม เพราะโดยพระสัญญาของพระเจ้าแล้วพระองค์จะ   ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วยเพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง” (คร.10:13) ...เอเมน 

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนหก)

          2. ควรแสดงความรักด้วยการกระทำ
        นอกจากคำพูดที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจอันจริงใจ คำปลอบโยนและการอธิษฐานเผื่อ ร้องวิงวอนกับพระเจ้าเพื่อเขา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากและขาดไม่ได้แล้ว เรายังต้องแสดงความรักความห่วงใยของเรากับเขาอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ใช่แค่พูดว่า “โอ้! น่าเห็นใจจริงๆ ฉันจะอธิษฐานเผื่อทุกวันนะ” แล้วก็จบกันไป  พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ15 สมมุติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 
16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่นและอิ่มหนำเถิดแต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด17 เช่นกันความเชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการ
กระทำก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์[d](ยก.2:14-17) อ.ยากอบได้เตือนและหนุนใจพี่น้องคริสเตียนไว้ว่าความเชื่อต้องสำแดงออกด้วยการกระทำ ดังเมื่อเชื่อว่าพระเจ้าเป็นความรัก ในฐานะสาวกก็ควรสำแดงความรักออกมาเป็นการกระทำต่อพี่น้อง ดังนั้นอะไรที่เราสามารถช่วยเขาได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนเราก็ควรจะทำ และทำอย่างดีที่สุด โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย กำลังกายและมันสมองของเรา บ้างครั้งเขาอาจจะไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่เรายอมสละเวลา ละจากงานที่ทำอยู่สักครู่มารับฟังเขาก็ได้ “เหตุฉะนั้นเมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ” (กท.6:16)
          3. ควรใช้พระคำหนุนใจอย่างถูกต้อง
                   พระคำของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจเพราะ “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับย่างก้าวของข้าพระองค์เป็นแสงสว่างส่องทางของข้าพระองค์” (สดด.119:105) และ  เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ” (ฮบ.4:12) พระคำของพระเจ้าเป็นโคมส่องทางสำหรับคริสเตียนในการดำเนินชีวิต เป็นดาบที่ใช้รุกไล่และฟาดฟันศัตรู และเป็นอาหารที่บำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณผู้ที่กระหายและรักพระคำพระเจ้าจะได้สติปัญญา พบสันติสุข และมีชีวิตที่สัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพระบิดา ดังนั้นเราต้องตั้งใจศึกษา ใคร่ครวญ ตีความ และนำไปใช้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเราอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างมักง่ายขอไปที ตีความเข้าข้างตัวเอง เล็งแต่ข้อที่ชอบ หาคำตอบแบบสุ่ม และขาดความเข้าใจในภูมิหลัง ภัยจะมาถึงตัวแน่นอน ซาตานสามารถใช้ความเข้าใจผิดของเราโจมตีเราได้เช่นกัน เพราะมันเองก็รู้พระคัมภีร์ไม่น้อยเลย แล้วมารนำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร แล้วทูลว่า ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีคำเขียนไว้ว่า“ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่านทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่านเพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน (มธ.4:5-6) ซาตานเคยพยายามใช้ข้อพระคัมภีร์ล่อลวงให้พระเยซูคริสต์กระโดนลงมาจากยอดหลังคาพระวิหาร ด้วยอ้างว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะปกป้องพระองค์ให้พ้นอันตรายทั้งปวง แต่องค์พระเยซูคริสต์เองก็ใช้พระคัมภีร์โต้ตอบไปเช่นกัน “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน (มธ.4:7) ในที่สุดซาตานก็ต้องล่าถอยไป

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนห้า)


         โยบยังคร่ำครวญถึงชีวิตตัวเองต่อไป 11 ทำไมหนอข้าจึงไม่ตายตั้งแต่เกิด? ทำไมไม่สิ้นลมตั้งแต่คลอด? 12 ทำไมหนอจึงมีตักที่รองรับข้าไว้มีอ้อมอกที่เลี้ยงดู? 13 ไม่เช่นนั้นป่านนี้ข้าคงได้นอนอย่างสงบ ข้าคงได้หลับและพักอย่างสบาย 14 กับบรรดากษัตริย์และที่ปรึกษาของโลก ผู้สร้างสถานที่สำหรับตนซึ่งบัดนี้ปรักหักพัง 15 กับบรรดาผู้ครอบครองซึ่งมีเงินทองเต็มบ้าน 16 ทำไมหนอข้าจึงไม่ถูกดินกลบหน้าเหมือนทารกที่ตายตั้งแต่ยังไม่คลอด ที่ไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน? 17 ที่นั่นคนชั่วหยุดวุ่นวาย และคนเหนื่อยอ่อนก็ได้พักสงบ 18 เชลยอยู่อย่างสบาย ไม่ได้ยินเสียงตะคอกจากนายทาสอีกต่อไป 19 ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่ที่นั่น และทาสก็เป็นอิสระจากนาย(โยบ3:11-19) โยบทุกข์ทรมานแสนสาหัสทางร่างกาย นอกจากนี้เขายังโศกเศร้าที่สูญเสียครอบครัวและทรัพย์สินไป ไม่แปลกเลยที่โยบคิดอยากตาย เหมือนกับบรรดากษัตริย์และเจ้านายที่มีชีวิตอยู่และก็ตาย โยบคิดเสมอว่าตนน่าจะตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา หรืออย่างน้อยก็ตายเลยหลังจากคลอดออกมาไม่นาน โยบคิดว่าในความตายนั้น พวกคนชั่วก็จะไม่ไม่สร้างความลำบากให้แก่คนอื่นอีกต่อไป ในความตายของคนที่เหนื่อยล้าพวกเขาก็จะได้หยุดพัก พวกนักโทษก็ไม่ต้องได้ยินเสียงของผู้คุมที่บีบบังคับต่อไป พวกคนรับใช้ก็เป็นอิสระจากนายของตน และสุดท้ายแล้ว ด้วยความตาย ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน ที่ผู้ใหญ่และผู้น้อย จะรวมกันอยู่ที่นั้น สภาพจิตใจของโยบสับสนวุ่นวาย เขามีทางเลือกเพียงสองทางคือ เขาจะแช่งด่าพระเจ้าและยอมแพ้ หรือ วางใจในพระเจ้าและรับกำลังจากพระองค์เพื่อสู้ต่อไป
          ทำไมหนอข้าจึงไม่ตายตั้งแต่เกิด? ทำไมไม่สิ้นลมตั้งแต่คลอด?(โยบ3:11) เมื่อผู้เชื่อมีความคิดอยากจะตายนั้น “เหมาะสมหรือไม่” บางครั้งปัญหาการทำมาหากิน และสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ทำให้เกิดความเครียดได้ อย่างรุนแรง และรวดเร็วแก่ทุกคน นำมาซึ่งความรู้สึกซึมเศร้า และอาจทำให้หลายคนคิดฆ่าตัวตาย คนที่คิดฆ่าตัวตายมักจะเกิดอารมณ์ซึมเศร้านำมาก่อน อาการอาจเริ่มต้นจาก อารมณ์เบื่อ ไม่สนุกสนาน ไม่ร่าเริงแจ่มใส ไม่ค่อยสนใจหรืออยากจะทำอะไรแม้แต่ กิจกรรมที่เคยชอบทำหรือเคยเพลิดเพลิน เบื่องาน หรือ เบื่อการเรียน เบื่อคนที่อยู่รอบข้าง เบื่อ โลก เบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อยากพูดคุยกับใคร ฉุนเฉียวง่าย หงุดหงิด ง่าย กังวลง่าย ท้อแท้ เบื่ออาหาร รับประประทานอะไรไม่อร่อย ไม่มีรสชาติ น้ำหนักลดลงเร็ว นอนไม่หลับหรือหลับ ๆ ตื่นๆ หรือตื่นดึกๆ แล้วนอนหลับต่อไปไม่ได้ สมาธิความจำเสียไป การฝึกและเคลื่อนไหวช้าลง ทำงานหรือเรียนได้ช้าจนเสียงาน รู้สึกตนเองผิด ไม่มีประโยชน์ ไร้ค่า เบื่อชีวิต และคิดอยากตาย อาการเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วในเวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน 
          พระคัมภีร์กล่าวถึงคนสี่คนที่ฆ่าตัวตาย คือ ซาอูล (1 ซามูเอล 31:4) อาหิโธเฟล (2 ซามูเอล 17:23), ซิมรี (1 พงศ์กษัตริย์ 16:18), และยูดาส (มัทธิว 27:5) คนเหล่านี้แต่ละคนชั่วร้ายและเป็นคนบาป พระคัมภีร์มองว่าการฆ่าตัวตายคือการฆ่าคน - นั่นคือ การฆ่าตัวเอง พระเจ้าคือผู้เดียวที่เป็นผู้ตัดสินว่าเมื่อไหร่คน ๆ นั้นจะถึงเวลาตาย และจะตายอย่างไร การนำอำนาจนี้มาใช้เสียเอง พระคัมภีร์ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า ทุกคนจึงควรเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และเฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย โดยการสังเกตและ สอบถามคนที่อยู่ใกล้ชิดเสมอเมื่อสงสัยว่าเขาจะเกิดอารมณ์ซึมเศร้าหรือคิดฆ่าตัวตาย ด้วยการ.....
          1. ควรเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
                   “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่าง
ต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจ และความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟป.4:6-7) สำหรับผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติที่จะคิดฆ่าตัวตาย เพราะตามปกติคริสเตียนควรจะมีความหวังในพระเจ้า และในพระสัญญาของพระองค์เสมอ แม้ในยามที่ประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเราควรจะมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่กับเรา และไม่ทอดทิ้ง (อสย.49:15) พระองค์จะประทานกำลัง ความชื่นชมยินดี และสันติสุขให้เมื่อเราร้องทูลขอต่อพระองค์คริสเตียนที่คิดฆ่าตัวตาย มักคิดว่าพระเจ้าไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้อีกแล้ว เพราะการอธิษฐานไม่เกิดผลไม่มีคำตอบจากพระเจ้า เขาอ่านพระคัมภีร์แต่พระคำพระเจ้าก็ไม่ได้ให้วิธีการ หรือความช่วยเหลืออะไรเลย เพื่อนพี่น้องก็หาความจริงใจยาก และเหตุผลอื่นๆอีกมากมายที่เขาคิดเอาเอง ในฐานะที่เราเป็นสหายแห่งความเชื่อเดียวกัน ต้องช่างสังเกตและเอาใจใส่ต่อความต้องการของพี่น้องรอบข้าง เหมือนที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงสังเกตและเอาใจใส่ตัวเรา

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสี่)

        หากเราใคร่ครวญความทุกข์ความเจ็บปวดที่เกิดกับโยบนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เกิดเพราะโยบ ทำบาปจนพระเจ้าต้องพิพากษาลงโทษ แต่เกิดเพราะพระเจ้าทรงมั่นใจอย่างยิ่งในความสัตย์ซื่อของโยบ ชีวิตเราเองก็อาจจะถูกทดสอบเช่นนี้ได้เหมือนกัน อย่าประเมินตัวเองสูงเกินไป เราเองอาจกลายเป็นคนที่อ่อนแอได้เมื่อต้องทนทุกข์และเจ็บปวด เราต้องยึดความเชื่อไว้ให้มั่นแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ  “จงอย่าดูถูกตนเอง” เราเคยดูถูกตนเอง หรือเกลียดตนเองบ้างไหม? ในเวลาที่เราท้อแท้  เกิดความเครียด อึดอัด หรือไม่สมหวังอะไรบางอย่างในชีวิต มนุษย์เรามักจะลงท้ายด้วยการดุด่าตนเอง ว่าตนเอง ว่าเราไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ทำไมชีวิตมันบัดซบเช่นนี้  เรามันไม่น่าเกิดมาเลย... การกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ทำให้เรามีสภาพการที่แย่ลงกว่าเดิม  เพราะเป็นช่วงที่เราไม่ได้รักตนเอง ลงโทษตนเอง และดูถูกตนเอง ความสำเร็จต่างๆ ก็จะห่างไกลออกไปทุกที ทุกที  เมื่อเราคิดในแง่ลบกับตนเอง จะขาดซึ่งสติยั้งคิดในการพิจารณาบ่อเกิดของปัญหา มันยิ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายลง เมื่อปัญหาชีวิตเดิมไม่ได้แก้ไข  เมื่อมีปัญหาใหม่เข้ามาทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ท้อแท้เสียก่อนแล้ว ทำให้ปัญหาเดิมไม่ได้แก้ไข ปัญหาใหม่ก็เตรียมก่อตัว ปัญหายิ่งพอกพูนจนยากที่จะแก้ไข อันเป็นการสร้างปมด้อยให้ตนเองไปโดยปริยาย
 
           การดูถูกตนเอง กล่าวโทษตนเอง ดุด่าตนเอง เมื่อทำบ่อยครั้งเข้า จะทำให้ร่างกายและจิตของเราบันทึกความล้มเหลว ความท้อแท้ของเราไว้ จิตและสมองของเราไม่ได้แยกแยะว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่กับตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านบวก หรือด้านลบ จิตกับสมองของเราจะสนับสนุนความคิดนั้นให้เกิดเป็นความจริง ยิ่งเราคิดดูถูก กล่าวโทษตนเองซ้ำๆ ซ้ำๆ จะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เราขาดความมั่นใจ เมื่อจะทำอะไรใหม่ๆ ก็จะท้อแท้ไปเสียก่อนแล้วทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำ ณ ตอนนี้ก็คือ “เลิกดูถูกตนเอง ….. จงคิดว่าเรานั่นแหละเจ๋ง และแน่จริง”
            จงคิดว่าเรานั่นแหละเก่งที่สุด  ใครก็ตามที่ว่าเรา บั่นทอนกำลังใจเรา ให้เราคิดว่าเราเก่งที่สุด เจ๋งที่สุด ดีที่สุด อย่างไปใส่ใจต่อปัญหา และคำนินทาของคนอื่น เรานั่นแหละคือของจริง “เพราะพระคริสต์ปลอมและผู้เผยพระวจนะเท็จจะปรากฏขึ้นและแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เพื่อลวงแม้กระทั่งผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ถ้าเป็นไปได้”(มธ.24:24) แม้ว่าการหลอกลวงในยุคสุดท้ายจะยิ่งใหญ่จนคนที่ได้รับเลือกจะถูกหลอกลวง ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงปกป้องเรา พระเจ้าจะทรงทำลายมารซาตานและทุกคนที่ปฏิบัติตามพวกมันทั้งสิ้น (วว.19-20) เราได้บังเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ต่อพระพักตร์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงประทับอยู่ภายในตัวเรา และเราอยู่ภายใต้การปกป้องนั้นอยู่ “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!” (2คร.5:17)  และ “ ...ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้นโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ผู้สถิตในท่าน” (รม.8:11)  
          เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าใครก็ตามจะมาทำเวทมนต์คาถาชั่วร้ายใส่เรา ผู้ทำพิธีไสยศาสตร์ มนต์คาถา พ่อมดหมอผี และคำสาปแช่งไม่มีอำนาจเหนือเราเพราะพวกมันมาจากซาตาน ลูกที่รัก ท่านมาจากพระเจ้าและได้ชนะคนพวกนั้น เพราะพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก (1ยน.4:4) พระเจ้าได้ทรงชัยชนะมันแล้ว และเราได้รับอิสระที่จะนมัสการพระเจ้าโดยไม่ต้องกลัว (ยน.8:36) เราจะกลัวใครเล่า?ในเมื่อ “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงกลัวผู้ใด? องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นที่กำบังแข็งแกร่งสำหรับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องหวาดกลัวผู้ใด? (สดด.27:1)


อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสาม)

กลับมาที่เรื่องของ “โยบ”
          1ต่อมาโยบเอ่ยปากสาปแช่งวันที่เขาเกิดมา 2 เขากล่าวว่า 3หากเป็นไปได้ ขอให้วันที่ข้าเกิดมาและคืนที่พวกเขาพูดกันว่าเด็กชายคนหนึ่งเกิดมาแล้ว!พินาศเถิด 4 ขอให้วันนั้นกลับกลายเป็นความมืด ขอพระเจ้าเบื้องบนอย่าใส่พระทัยกับวันนั้น อย่าให้มีแสงใดๆ ส่องในวันนั้น 5 ขอให้ความมืดและเงาดำ[ครอบคลุมมันไว้ ขอให้เมฆปกคลุมเหนือมัน ขอให้ความมืดบดบังแสงสว่างของวันนั้น
6 ขอให้ความมืดกลืนค่ำคืนที่ข้าได้เกิดมานั้น ขอให้ลบวันนั้นออกจากปฏิทิน  อย่านับมันเข้ากับวันหรือเดือนใดๆ อีกเลย 7 ขอให้คืนนั้นเป็นหมัน อย่าให้ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดี 8 ขอให้ผู้มีอาคมสาปแช่งวันทั้งหลาย ผู้พร้อมจะปลุกเรียกเลวีอาธาน ขึ้นมาสาปแช่งวันนั้น 9 ขอให้ดาวรุ่งในเช้านั้นอับแสงไป ขอให้ความหวังที่จะได้เห็นแสงสว่างนั้นสูญเปล่า และไม่มีวันได้เห็นแสงอรุณ 10 จงสาปแช่งวันนั้น เพราะมันไม่ยอมปิดครรภ์มารดาของข้า ปล่อยให้ข้าเกิดมารู้เห็นความทุกข์นี้ (โยบ 3:1-10) องค์พระเยซูคริสต์ทรงร้องทูลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” (มธ.27:46) นี่เป็นคำตรัสที่พระองค์ทูลถามพระบิดา ความรู้สึกแบบนี้น่าจะตรงกับความรู้สึกของโยบ ซึ่งเขาต้องสูญเสียคนในครอบครัวไป อับอาย เจ็บปวด และเกิดความปวดร้าวในใจมากที่สุด ดูๆแล้วเหมือนกับว่าพระเจ้าละทิ้งเขาไปแล้ว โยบไม่ได้แช่ด่าพระเจ้าแต่เขาก็แช่งด่าวันที่เขาเกิด เขาคิดว่าไม่เกิดมาเลยก็ยังดีกว่าเกิดมาแล้วถูกพระเจ้าทอดทิ้ง เขากำลังดิ้นรนต่อสู้ทั้งอารมณ์ ร่างกาย และจิตวิญญาณ คำพูดของเขาบอกความรู้สึกต่อพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมา เขาเริ่มต้นด้วยการแช่งสาปวันที่เขาเกิด และการมีชีวิตอยู่อย่างน่าเศร้า “เลวีอาธาน” ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายในทะเล ตามความในพระคัมภีร์ (สดด.74:13-14; โยบ 41; และอสย. 27:1) จอมปีศาจแห่งริษยาตกเป็นตำแหน่งของงูยักษ์เลวีอาธาน มันถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ ว่าเป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์มีหลายหัว มีฟันแหลมคมเหมือนจระเข้ มีดวงตาดั่งขนตาของตะวัน (หมายถึงมันโผล่ตาขึ้นมาเหนือน้ำเหมือนที่จระเข้ทำเวลาจะล่าเหยื่อ ตามันจะโผล่พ้นน้ำมาเล็กน้อย เหมือนพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาในตอนเช้า) บางครั้งมันก็ถูกกล่าวว่าเป็นพลังแห่งความสับสนวุ่นวายเมื่อครั้งสร้างโลก ในปฐมกาลกล่าวว่า "ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินแผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น" ผืนน้ำนั่นแหละครับคือความสับสนวุ่นวาย และก็คือเลวีอาธาน คำว่า "เลวีอาธาน" นั้นยังหมายถึงสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ หรือสัตว์ขนาดใหญ่ใดๆ ก็ได้ โยบต้องการให้ผู้มีอาคมเรียกสัตว์ร้ายเช่นนี้มากลืนกินวันที่เขาเกิดเสีย แต่ถ้าสังเกตให้ดีในถ้อยคำนั้น โยบไม่ได้แช่งด่าพระเจ้าเลย การร้องทูลของเขาแสดงถึงความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง โดยไม่ได้ตำหนิองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย     
          บางครั้ง เรารู้สึกหดหู่เมื่อเห็นคนที่รักประสบปัญหาในชีวิต คนเหล่านี้มักจะเป็นคนดี เราไม่เข้าใจ เราเกิดความสงสัยว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ยิ่งเข้าใจยากถ้ามันเกิด กับตัวเราเอง ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเราด้วยเราไม่ได้ทำอะไรผิดบาป ทำไมเราต้องป่วย ทำไมครอบครัวเราต้องแตกแยก ทำไม     เราต้องตกงาน เราพยายามไขว่คว้าหาเหตุผล พยายามถามคนรอบข้างหาคำตอบ แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีคำตอบใด ที่สามารถสลายความเจ็บปวดขมขื่นที่เกิดจากสิ่งที่เรากำลังประสบอยู่ การอธิษฐานของเราจะดำเนินไปด้วยใจที่ปวดร้าวและเป็นทุกข์ นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้เชื่ออย่างเรา ที่จะแสดงความรู้สึกสงสัย และความรู้สึกอย่างจริงใจของเราต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการอธิษฐานวิงวอนแบบนี้ในพระคัมภีร์
                   14 ขอแช่งวันที่ข้าพเจ้าถือกำเนิดมา! ขออย่าให้วันที่แม่คลอดข้าพเจ้าออกมานั้นได้รับพร! 15 ขอแช่งคนที่นำข่าวไปบอกพ่อของข้าพเจ้า คนที่ทำให้พ่อของข้าพเจ้าดีใจมาก โดยบอกว่า ท่านได้ลูกชายแล้ว!16 ขอให้คนนั้นเป็นเหมือนเมืองต่างๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า+ทรงคว่ำทลายโดยปราศจากความเมตตาสงสารขอให้เขาได้ยินเสียงร่ำไห้ในยามเช้า เสียงโห่ร้องทำศึกยามเที่ยงวัน 17 เนื่องจากเขาไม่ฆ่าข้าพเจ้าเสียตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ให้ท้องของแม่เป็นหลุมฝังศพของข้าพเจ้า ให้ท้องของแม่โตอยู่อย่างนั้นตลอดไป 18 ทำไมหนอข้าพเจ้าจึงออกมาจากท้องแม่ ต้องเห็นความทุกข์โศกลำเค็ญ และชีวิตหมดไปกับความอัปยศอดสู? (ยรม.20:14-18)
                   1ข้าพเจ้าคือผู้ที่เห็นความทุกข์ลำเค็ญ จากไม้เรียวแห่งพระพิโรธของพระองค์ พระองค์ทรงขับไล่ข้าพเจ้าออกมาเดิน ในความมืดมนแทนที่จะเดินในความสว่าง อันที่จริงพระองค์ทรงหันมาเล่นงานข้าพเจ้า ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดวันคืน พระองค์ทรงกระทำให้เนื้อและหนังของข้าพเจ้าเหี่ยวย่นไป ทรงหักกระดูกของข้าพเจ้า พระองค์ทรงล้อมกรอบข้าพเจ้าไว้ ด้วยความขมขื่นและความทุกข์ลำเค็ญ พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด เหมือนคนที่ตายไปนานแล้ว พระองค์ทรงล้อมข้าพเจ้าไว้ไม่ให้หนีไปได้พระองค์ทรงถ่วงข้าพเจ้าด้วยโซ่ตรวน แม้เมื่อข้าพเจ้าทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือ พระองค์ไม่ทรงรับฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า พระองค์ทรงวางศิลากั้นทางของข้าพเจ้า ทรงทำให้หนทางของข้าพเจ้าคดเคี้ยว10 พระองค์ทรงเป็นดั่งหมีที่คอยตะครุบ ดั่งสิงโตที่ซุ่มอยู่ 11 พระองค์ทรงลากข้าพเจ้าออกจากทางและฉีกข้าพเจ้าเป็นชิ้นๆ แล้วทิ้งข้าพเจ้าโดยไม่มีใครมาช่วย 12 พระองค์ทรงโก่งคันธนู เล็งข้าพเจ้าเป็นเป้า 13 ลูกธนูจากแล่งธนูของพระองค์ เสียบทะลุหัวใจของข้าพเจ้า 14 ข้าพเจ้าตกเป็นขี้ปากให้พี่น้องร่วมชาติหัวเราะเยาะ เขาร้องเพลงล้อเลียนข้าพเจ้าวันยังค่ำ 15 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้ากินผักรสขมจนอิ่ม และทำให้ข้าพเจ้าเข็ดขมด้วยบอระเพ็ด 16 พระองค์ทรงเลาะฟันของข้าพเจ้าด้วยกรวด ทรงเหยียบย่ำข้าพเจ้าจมฝุ่นธุลี 17 สันติสุขถูกพรากไปจากใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างไร 18 ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญสิ้นเสียแล้ว และทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังจากองค์พระผู้เป็นเจ้า+ก็พังทลาย19 โปรดระลึกถึงความทุกข์ลำเค็ญและการระหกระเหินของข้าพเจ้า ระลึกถึงความขมขื่นและบอระเพ็ดที่ข้าพเจ้าได้รับ 20 ข้าพเจ้าจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ดีและจิตใจของข้าพเจ้าก็หดหู่อยู่ภายใน 21 ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง22 เพราะความรักใหญ่หลวงขององค์พระผู้เป็นเจ้า+เราจึงไม่ถูกผลาญทำลายไป เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด 23 มีมาใหม่ทุกเช้า ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก (พคค.3:1-23)


อ่านบทความอื่นต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสอง)

          2. เป็นคนพูดด้วยวาจา อ่อนหวาน ไพเราะ เป็นที่เจริญใจ
                   อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งที่ไม่สมควร แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้นตามความจำเป็นของเขา จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง (อฟ.4:29) นอกจากจะยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว การพูดก็มีความสำคัญ คำพูดที่น่าฟัง โดยอย่าให้คําหยาบคายหลุดออกมาจากปากของเรา ควรกล่าวคําที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เกิดความจําเริญ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง จงให้คำสนทนาของท่านเปี่ยมด้วยพระคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะรู้ว่าควรตอบทุกคนอย่างไร” (คส.4:6) ต้องมีคำพูดเพราะๆ ทุกคำพูดของเราควรมาจากความจริงใจ เป็นคำพูดที่ประกอบด้วยเมตตาคุณ ความรัก ความนุ่มนวล รักษาน้ำใจกัน พูดอะไรก็นึกถึงใจคนอื่น และไม่โกหก  นอกจากนั้นแล้ว คำพูดของเรายังต้อง ปรุงด้วยเกลือให้มีรส คือให้เราสะท้อนความงามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เสริมสร้างให้เติบโตไปด้วยกัน และช่วยผู้ไม่เชื่อให้ได้เห็นความจริง ความดีงามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผ่านคำพูดของเรา ดังที่เราได้บอกไว้แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่าหากใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่านนอกเหนือจากที่ท่านได้รับไว้แล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์!” (กท.1:9) อย่างไรก็ดี ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยพระคุณสุภาพอ่อนหวาน ไม่ได้หมายถึง ไม่กล่าวถ้อยคำแสดงออกด้วยใจร้อนรนและรุนแรง เมื่อจำเป็นต้องต่อสู้กับผู้เชื่อเทียมเท็จ ซึ่งเป็นศัตรูต่อวิถีทางแห่งกางเขน
          3. เป็นคนพูดจริงทำจริง
                     ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง (1ยน.3:18) การยิ้มอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะกระทำ การพูดจาสุภาพก็เช่นกันใครๆก็พอจะพูดได้ แต่เมื่อพูดแล้วลงมือกระทำด้วย อันนี้แหล่ะเป็นเรื่องยาก “ลูกที่รัก” เป็นคำเตือนสติให้เราคิดถึงการบังเกิดในฝ่ายจิตวิญญาณ ประชากรของพระเจ้าต้องไม่ “รักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น” นั้นหมายความว่าความรักนั้นไม่ใช่เรื่องของคำพูดเรื่องของปากเท่านั้น แต่เราต้องรักกัน “ด้วยการกระทำและความจริง” “ไม่มีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้คือ การที่เขายอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตนเอง” (ยน.15:13) รักแท้เป็นการกระทำ มิใช่ความรู้สึก ดั่งองค์พระเยซูคริสต์ที่มีรักแท้ต่อมนุษยชาติ รักแท้ของพระองค์เกิดผลเป็นการให้อย่างเสียสละ และไม่เห็นแก่ตัว การกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความรักก็คือ การเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น เมื่อพี่น้องขัดสนเรามีท่าทีอย่างไรบ้าง ความรักที่แสดงออกก็ด้วยความช่วยเหลือแก่คนขัดสนอย่างจริงใจ นั้นคือ แบ่งปันทรัพย์สินฝ่ายโลกของเราให้แก่พวกเขา การปฏิเสธไม่ให้อาหาร เสื้อผ้าหรือเงินทองเพื่อช่วยเหลือคนขัดสนนั้น เป็นการปิดใจของเราต่อพวกเขา (1ยน.3:16-17)  แต่สำหรับคริสเตียนเราต้องแสดงความรัก ทางหนึ่งที่กระทำได้ คือจัดหาความช่วยเหลือเพื่อคนอื่นที่ขัดสน ซึ่ง อ.ยากอบ เองก็มีคำสอนอยู่ใน บทที่2ข้อ14ถึง17 เราต้องถามตัวเองว่าการกระทำของเรา แสดงให้เห็นชัดเจนเพียงใดว่า เรารักคนอื่นจริงๆ เรามีน้ำใจกว้างขว้างเพียงไร ในการแบ่งปันต่อผู้ขัดสน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการกระทำที่ดูเหมือนว่า มาจากความรักนั้น บางครั้งอาจเป็นความรักที่เสแสร้ง หรือหน้าซื่อใจคดได้เหมือนกัน อ.ยอห์น จึงเพิ่มคำว่า “ด้วยความจริง” เข้าไปด้วย ความรักของเราต้องเป็นความรักที่เป็นความจริง ไม่ใช่ของปลอมๆ หรือเสแสร้ง เพราะความรักแท้เช่นนั้นถึงจะเป็นตัวพิสูจน์ได้ว่าคนๆ นั้น ได้ “พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” (1ยน.3:14)
          4. เป็นคนมีใจรับใช้ผู้อื่น
                   พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้นก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่านเพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่ “จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก” (กท.5:13) การที่อยากจะให้สิ่งดีแก่ใครบางคน สามารถทำให้ร่างกายของเราหลั่งสารแห่งความสุขจนท่วมท้นตัวของเราแล้ว ความสุขที่เกิดจากการรับ แม้จะมี แต่ก็ไม่อาจเปรียบได้กับความสุขที่เกิดจากการให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งที่เราให้ออกไปนั้นเป็นสิ่งที่ก่อเกิดความสุขให้แก่ผู้รับ การให้ที่กล่าวมานี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการให้เงินทอง หรือสิ่งของที่มีมูลค่าราคาสูงบางครั้งสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านการแสดงน้ำใจใน “การรับใช้” ด้วยความถ่อมใจก็อาจก่อเกิดสุขแก่ผู้รับจนเกินบรรยายแล้ว อาทิเช่น  การให้รอยยิ้มที่ปริ่มปาก การให้หูที่รับฟังด้วยใส่ใจ การให้มือช่วยหยิบยื่นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยมิตรภาพ “การให้กับการรับใช้” จึงเป็นคู่แฝดที่นำความสุขมาให้แก่ผู้ที่กระทำ การรับใช้ผู้อื่นนั้นทำให้ผู้อื่นเห็นความรักของพระเจ้าในชีวิต และนั่นเป็นสิ่งที่วิเศษมาก อ.เปาโลสอนว่า บางคนใช้หลักการเรื่องเสรีภาพของคริสเตียนในทางที่ผิด และใช้มันเป็นช่องทางที่จะทําอะไรก็ได้ตามใจชอบ ความแตกแยกมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทางออกของปัญหานี้ นั้นง่ายนิดเดียว แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรักเถิด คํากล่าวนี้ลึกซึ้งจริงๆ เราไม่เพียงควรรักซึ่งกันและกันเท่านั้น แต่เราควรรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยน้ำใจแบบเดียวกันด้วย
          5. เป็นคนมีความถ่อมใจ
                   ท่านทั้งหลาย “จงถ่อมใจ” ลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น (ยก.4:10)เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ความหยิ่งจองหองนั้นไม่น่ารักในสายพระเนตรของพระเจ้าเลย (คนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเหมือนกัน) ถ้าอยากดำเนินชีวิตคริสเตียนแบบสวยงาม เราต้องมีความยำเกรงพระเจ้าและความถ่อมใจ เพราะความถ่อมใจเดินนำหน้าเกียรติ แต่ความเอาแต่ใจมาพร้อมกับความน่าเกลียด (สภษ.18:12) พระเจ้าจะยังไม่ยกชูเราจนกว่าเราจะเต็มใจถ่อมตัวลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ด้วยความเสียใจตามแบบของพระองค์ เพราะผู้ใดยกตัวเองขึ้นจะถูกทำให้ต่ำลงและผู้ใดถ่อมตัวลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น (มธ.23:12) และเพราะฉะนั้นพวกท่านจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร (1 ปต.5:6) พระเจ้าทรงต่อสู้กับคนที่หยิ่งจองหอง และทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม
          ห้าวิธีการตามพระคัมภีร์ที่จะทำให้ชีวิตของเราๆ สามารถเป็นที่รักได้สำหรับคนรอบข้าง ไม่ว่าเราจะทำอะไรให้เราทำด้วยเต็มใจเหมือนทำถวายพระเจ้า รักกันด้วยใจจริง แสดงออกด้วยจริงใจ แบบนี้แหล่ะถึงจะเรียกว่า เป็นลูกๆ ที่น่ารักของพระเจ้า คริสเตียนแบบนี้แหล่ะที่ดูดีมีเสน่ห์

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/