วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

เผชิญความทุกข์ยาก (ตอนแรก)

สดด.50:15
“...จงร้องทูลเราใน  วันทุกข์ยากลำบาก     เราจะช่วยกู้เจ้า..."
.................................
            หลังจากเดินทางออกมาจากอียิปต์แล้ว ความเป็นจริงของชีวิตในทะเลทรายก็เผชิญหน้ากับอิสราเอล พวกเขาพบกับความยุ่งยากต่างๆ นานาระหว่างทางไปยังแผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้ แม้กระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงเลี้ยงดู และทรงช่วยให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก เหตุการณ์ใน อพย.16:11-31 เป็นภาพการสำแดงของพระเจ้าเพื่อช่วยเหลือชนชาติอิสราเอล
            ข้อ 11-12 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เราได้ยินคำบ่นของชนชาติอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่เขาว่า 'ในเวลาโพล้เพล้ พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ ทั้งในเวลาเช้า เจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระเจ้าของพวกเจ้า'"
                        “คำบ่น” การบ่นเป็นอาการของการพูดชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจมีลักษณะของการพูดในระดับเสียงตั้งแต่ค่อยที่สุดเหมือนกับพึมพำคนเดียวจนถึงระดับเสียงที่ดังฟังชัดเจนแล้วแต่อารมณ์และเจตนาของผู้บ่น การบ่นนั้นเป็นการพูดที่ดูเหมือนจะไม่ต้องมีการฝึกหัด หรือเรียนรู้อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ เมื่อคนมีประสบการณ์มากขึ้น ได้รับรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น และต้องรับผิดชอบเรื่อง ๆ มากขึ้น คนก็จะทำพฤติกรรมการบ่นได้เก่งขึ้นเองเป็นเงาตามตัว การบ่นเป็นคำที่มีความหมายในเชิงลบ จึงไม่มีใครต้องการที่จะมีความเก่งกาจในด้านการบ่น      
                        ชนชาติอิสราเอลเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของชีวิตในทะเลทราย พวกเขาเริ่มบ่นต่อการดำเนินชีวิตแบบนั้น พวกเขาเผชิญต่อความขาดแคลน และความไม่สะดวกสบาย อิสราเอลบ่นอย่างข่มขื่นและอยากกลับไปอียิปต์ แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้แก่พวกเขาแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้นำไปสู่ความตรึงเครียด การบ่นเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาไม่ต้องการกลับไปอียิปต์จริงๆ เพียงแต่ต้องการชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น ความเครียดทำให้ขาดความวางใจในพระเจ้าจึงแสดงอาการแบบนั้นออกมา  เมื่อพวกเราเครียดจงอย่าหลงกลลวงให้หนีปัญหาโดยเร็วด้วยการบ่น แต่จงจดจ่อที่ฤทธิ์อำนาจและสติปัญญาของพระเจ้าที่จะช่วยจัดการกับสาเหตุของความเครียด ด้วยพระเจ้าสถิตอยู่กับอิสราเอลพระองค์จึงตรัสกับโมเสส ว่าพระองค์ได้ยินเสียงบ่นของพวกเขา แล้วพระองค์ทรงบอกพวกเขา ว่า “ในเวลาเย็นจะได้รับประทานเนื้อ ในเวลาเช้าพวกเขาก็จะอิ่มด้วยอาหาร” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูพวกเขา เพื่อสำแดงให้พวกเขารู้ว่า พระองค์เป็นพระเจ้าของพวกเขา
                        1คร.10:10 อย่าให้เราบ่นเหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้บ่น แล้วก็ต้องพินาศด้วยองค์เพชฌฆาต และ ฟป.2:14 จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน  พระคำเตือน เรื่อง “บ่น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านอ.เปาโล ให้เตือนสติเรื่องการบ่นแก่คริสเตียนเมืองโครินทร์ โดยยกเหตุการณ์ในพระคัมภีร์เดิมน่าจะเป็นเรื่องการกบฏของโคราห์ ดาธาร และอาบีรัน ในกันดารวิถีบทที่16 ในครั้งนั้นการบ่นเป็นการกบฏอย่างซึ่งๆ หน้าต่อผู้นำที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ การลงโทษของพระเจ้าต่อโคราห์และคนเหล่านั้นที่กบฏร่วมกับเขารุนแรงมาก อ.เปาโลสื่ออย่างชัดเจนตรงใจบางคนที่มักกบฏ ในคริสตจักรเมืองโครินธ์  เหตุที่การบ่นว่าและทะเลาะเบาะแว้งเป็นอันตรายต่อคริสตจักรมาก เพราะถ้าคนอื่นรู้ว่าในคริสตจักรสมาชิกทะเลาะเบาะแว้งกัน บ่นว่ากัน และนินทาว่าร้ายกันตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาเข้าใจเรื่อง ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ในทางที่ผิด ความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าควรจะทำให้ผู้ที่วางใจในพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน
                        “พระเจ้าของพวกเจ้า” สดุดีบทที่ 50 บรรยายถึงภาพของ พระเจ้าผู้ทรงครอบครองไว้ได้ชัดเจนมาก โดยสาระส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้า ผู้ทรงครอบครองอยู่เหนืออิสราเอลและเหนือประชาชาติทั้งหลาย เพราะสิทธิอำนาจ ฤทธานุภาพ ความบริสุทธิ์และเที่ยงธรรมของพระองค์นั้นเอง พระองค์จะทรงอวยพระพรแก่คนชอบธรรม และจะทรงทำลายคนอธรรมเสีย หากดำเนินชีวิตเพียงแต่ท่องบทบัญญัติของพระเจ้า และแสดงความเชื่อต่อพระเจ้าแห่งพันธสัญญาเพียงแค่คำพูดเท่านั้น ไม่ได้ดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับบทบัญญัติและพันธสัญญา  ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะ พระเจ้าจะทรงรับการสรรเสริญ นมัสการ และคำอธิษฐานก็ต่อเมื่อพวกเราดำเนินชีวิต ด้วยการเชื่อฟังองค์พระองค์เท่านั้น
                        ฟป.2:15-16เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็น บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลาง พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก 16จงยึดมั่นในพระวาทะแห่งชีวิต เพื่อข้าพเจ้าจะมีที่อวดในวันของพระคริสต์ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งเปล่าๆและไม่ได้ทำงานโดยเปล่าประโยชน์  “ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก”  ชีวิตของคริสเตียนควรสำแดงลักษณะ ที่ มีความบริสุทธิ์ทางศีลธรรม มีความอดทน และมีความสงบสุข เพื่อพวกเขาจะ ส่องสว่างดั่งดวงดาวในโลกที่มืดมน และเสื่อมทราม .....คุณกำลังส่องสว่างสดใสดีอยู่หรื๊อ?.......
อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

โปรดระวัง...เถอะ (ตอนสุดท้าย)


          ฟป.3:1-1 สุดท้ายนี้ ขอให้พวกพี่น้องของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านซ้ำอีก ก็หาเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าไม่ และเป็นการปลอดภัยสำหรับท่านด้วย
            ในฟีลิปปี บทที่3 เป็นบทที่เปาโลเตือนสติคริสตจักรเมืองฟีลิปปี เกี่ยวกับการรุกรานของพวกถือลัทธิยิว โดยการถือรักษาธรรมบัญญัติ และภาระต่างๆ ที่บันทึกไว้ในนั้น “ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเปาโลกำชับให้พี่น้องเมืองฟีลิปปีชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อป้องกันผู้เชื่อเหล่านี้ และยินดีที่พูดซ้ำๆ ซึ่งจะขจัดความคิดที่ผิดร้ายแรงออกจากกลุ่มคริสเตียนเมืองฟีลิปปี
            ฟป.3:2-3 จงระวังพวกสุนัข จงระวังบรรดาคนที่ทำชั่ว จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง3เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัตแท้ เป็นผู้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และอวดพระเยซูคริสต์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนัง ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเองมีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ถ้าผู้อื่นคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง        
            “จงระวังพวกสุนัข จงระวังบรรดาคนที่ทำชั่ว จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง เปาโลเตือนให้ระวังคนทั้งสามประเภทนี้ให้ดี จริงแล้วคนทั้งสามนี้ก็คือ พวกอาจารย์สอนที่ถือความเชื่อแบบยิวที่แอบเข้ามาในคริสตจักร เปาโลมองพวกนี้ว่าเป็น “สุนัข” เป็น “คนทำชั่ว” แม้ว่าสุนัขในปัจจุบันจะถูกมองในแง่ดี แต่เมื่อย้อนไปในสมัยนั้นมักนำมาเปรียบเทียบกับคนที่ประพฤติไม่ดี ในพันธสัญญาเดิมมักเรียก ผู้ชาย ที่บูชารูปเคารพ และล่วงประเวณีต่อหน้ารูปเคารพว่า "สุนัข"(ฉธบ.23:17-18  "ผู้หญิงชาวอิสราเอลนั้น อย่าให้คนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาสี {หญิงผู้ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา} อย่าให้บุตรชายอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาส {ชายผู้ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา} 18ท่านอย่านำค่าจ้างของเทวทาสี หรือค่าจ้างจากหมา {ชายที่ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา} มาในโบสถ์ ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นเงินแก้บนอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะสิ่งทั้งสองนี้เป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน) ดังนั้น สุนัข คือ คนที่ไม่ได้ดำเนินในวิถีแห่งพระเจ้า แต่นับถือสิ่งที่มืด ทำสิ่งที่ชั่วช้า ลามก อนาจาร พวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง คือกลุ่มคนที่สนับสนุนการเข้าสุหนัต เปาโลต้องการเตือนพี่น้องที่เมืองฟีลิปปีให้ระวังพวกอาจารย์สอนที่ถือความเชื่อแบบยิว ที่สอนว่าแม้แต่คริสเตียนที่เป็นคนต่างชาติก็ต้องเข้าสุหนัต และดำเนินชีวิตใต้พระบัญญัติ สำหรับอาจารย์พวกนี้ความเชื่อแบบคริสเตียน เป็นส่วนเสริมของความเชื่อแบบยิว
            คริสตจักรยุคแรกถือกำเนิดแยกออกมาจากความเชื่อแบบยิว จึงได้รับอิทธิพลแบบยิวอย่างมาก เปาโลจึงชี้ให้เห็นว่าพวกเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัต ที่นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ ไม่ยอมไว้ใจในเนื้อหนัง อันเป็น “สัญลักษณ์ของความเชื่อแบบยิว และ ยังดำเนินชีวิตภายใต้พระบัญญัติด้วยคือ การเข้าสุหนัต พิธีกรรมนี้เป็นสิ่งบ่งบอกว่าได้กลายประชากรของพระเจ้าซึ่งเป็นเพียงลักษณะเฉพาะทางร่างกายเท่านั้น
            เปาโลชี้ให้เห็นว่าพวกเราต้อง “นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ การที่พวกเราจะนมัสการพระเจ้าได้นั้น ไม่ได้เป็นไปด้วยพิธีกรรมใดๆทั้งสิ้น แต่พวกเราต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยน.4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง ) กล่าวโดยสรุป ความเชื่อแบบยิวยังติดยึดอยู่กับเนื้อหนังและพิธีกรรมต่างๆ แต่ความเชื่อแบบคริสเตียนนั้นให้ความสำคัญกับ “จิตวิญญาณ
            ฟป.3:4-7 ข้าพเจ้าก็มีมากกว่าเขาเสียอีก 5คือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล เผ่าเบนยามิน เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้น ก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติได้ 7แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์
            เปาโลเข้าใจเรื่องความเชื่อแบบยิวเป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นชาวยิวโดยกำเนิด ท่านได้รับการอบรมฝึกฝนในความเชื่อแบบยิวอย่างดี จนเคร่งครัดถือตามธรรมบัญญัติทุกประการ ท่านคิดว่าคริสเตียนเป็นพวกสอนผิดและหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะเหตุว่าพระเยซูคริสต์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระเมสสิยาห์ เปาโลจึงสรุปเอาเองว่าพระเยซูคริสต์อ้างพระองค์อย่างเทียมเท็จ ยิ่งกว่านั้นท่านเห็นว่าคริสเตียนเป็นตัวอันตรายทางการเมือง เป็นกลุ่มที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิวกับผู้นำรัฐบาลโรมันไม่มั่นคง หากพวกเรามองอย่างผิวเผินดูเหมือนว่าเปาโลกำลังเขียนอวดความสำเร็จของตนเอง แต่แท้ที่จริง ท่านกำลังทำสิ่งตรงกันข้ามคือ แสดงให้เห็นว่าการกระทำของมนุษย์ถึงแม้จะน่าประทับใจแค่ไหน ก็ไม่สามรถทำให้คนนั้นรอด หรือมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าได้ ภูมิหลังของเปาโลเป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งทั้งทาง การเลี้ยงดู สัญชาติ ครอบครัว มรดก ความเคร่งครัดในความเชื่อแบบยิว แต่เมื่อเปาโลกลับใจเชื่อพระคริสต์ สิ่งทั้งหมดที่กล่าวนี้ไม่มีความจำเป็นเลย ตั้งแต่ท่านอยู่ในพระคุณของพระคริสต์ ท่านไม่ได้พึ่งการกระทำของตนเองเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะความรอดนั้นมาโดยความเชื่อในพระคริสต์
            “สิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์  นั่นคือ ความน่าเชื่อถือ เกียรติภูมิ และความสำเร็จ เปาโลพบว่าการกระทำแบบนี้จะไม่ทำให้คนบาปเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าได้เลย ตรงกันข้ามกลับเป็นอุปสรรคขัดขวาง “สิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนไร้ประโยชน์เมื่อท่านรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดอย่าให้อดีตเป็นสิ่งกีดขว้างความสัมพันธ์ ระหว่าง พวกเรากับพระคริสต์                                                          
         ฟป.3:8-9 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ 
            หลังจากที่เปาโลได้ใคร่ครวญทุกสิ่งที่ท่านทำสำเร็จในชีวิตแล้ว ท่านกล่าวว่า “สิ่งสารพัดไร้ประโยชน์” เมื่อเทียบกับการได้รู้จักพระคริสต์ ท่านจึงทิ้งความตั้งใจแบบนั้นถือว่าการกระทำอย่างนั้นเป็นเหมือน “มูลฝอย” และหันไปรับเอาของประทานอันเลิศประเสริฐคือ ความชอบธรรมของพระเจ้าโดยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์     พวกเราเองก็ควรตระหนัก ไม่ว่าพวกเราจะรักษาธรรมบัญญัติ พัฒนาตนเอง มีวินัย หรือพยายามปฏิบัติศาสนกิจมากเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่อาจทำให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ความชอบธรรมมาจากพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าทรงทำให้พวกเราเป็นผู้ชอบธรรมโดยการวางใจในพระคริสต์ พระองค์ประทานความชอบธรรมอันสมบูรณ์ของพระองค์มาแทนที่ความบาป และความบกพร่องของพวกเรา     
            ฟป.3:10-11 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ 11ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย
            เปาโลคิดว่า แม้ท่านตายและเป็นขึ้นมากับพระองค์แล้ว แต่ก็ยังอยาก “ตั้งอารมณ์ตาย” นั่นความหมายว่า ในแต่ละวันท่านอยากให้ความปรารถนาของตัวเองตายเสีย จะได้มีชีวิตใหม่อยู่เสมอ และชนะความบาปทุกวัน
 
ประสบการณ์ในพระเจ้า 
ต้องอาศัยความเชื่อที่แท้จริง 
เราต้องกล้าที่จะเชื่อและวางใจในพระเจ้า
เราจึงจะได้พบคุณค่าแห่งความเชื่อ 

แล้วเราจะรู้ได้ว่าพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/        

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

โปรดระวัง...เถอะ (ตอนแรก)


ฟป.3:1-11
เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัตแท้ เป็นผู้นมัสการพระเจ้าด้วย
จิตวิญญาณ และอวดพระเยซูคริสต์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนัง ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเอง
มีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ถ้าผู้อื่นคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง
***************
          คริสตจักรคือ กลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียกออกมาจากความบาปโดยการทรงไถ่(ด้วยความเชื่อ)เพื่อรับพระพรจากพระองค์ กท.3:25-28 แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว26เพราะว่า ท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมในพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อ 27เพราะเหตุว่าคนที่รับบัพติศมาเข้าร่วมใน   พระคริสต์แล้ว ก็จะสวมชีวิตพระคริสต์ 28จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระยซูคริสต์ คริสตจักรจึงเป็นการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเยซูคริสต์กับผู้ที่ได้ตัดสินใจติดตามพระองค์  เหมือนดั่งศีรษะกับกายที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระองค์จึงเป็นเหตุที่คริสตจักรมีชีวิต และจำเริญเติบโตได้ ดังนั้นคริสตจักรที่กล่าวไว้ในพระคำนี้จึงหมายถึง บรรดาคริสเตียนทุกคน ทุกยุค ทุกสมัย อฟ.5:27เพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศีไม่มีตำหนิริ้วรอย หรือ    มลทินใดๆเลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ ในสายพระเนตรของพระองค์ คริสตจักรได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์พระองค์จึงทรงเห็นว่าคริสตจักรที่อยู่ใน      พระคริสต์ไม่ควรมีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินแต่อย่างใด          
            ในพระธรรมกิจการ เปาโลได้เดินทางทั่วจักรวรรดิโรมัน เพื่อเทศนาประกาศข่าวประเสริฐ และเริ่มก่อตั้งคริสตจักร เป็นพันธกิจที่น่าตื่นเต้นและเสี่ยงตายอย่างมาก ถึงแม้ว่าเปาโลจะเผชิญกับความทุกข์ยากนานานับประการ แต่เขาก็ทำงานจนเกิดผล ปัญหาที่ตามมาของการก่อตั้งคริสตจักรก็คือ การรักษาชุมชนของผู้เชื่อใหม่เหล่านี้ ให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องกับพระเจ้า หลังจากที่เปาโลจากไปแล้วได้อย่างไร ผู้เชื่อใหม่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ที่นับถือพระเทียมเท็จ กราบไหว้รูปเคารพ และดำเนินชีวิตที่เสื่อมทรามทางศีลธรรมอย่างร้ายแรง ในบางสถานที่เปาโลยังเทศนาไม่เสร็จก็ถูกขับไล่  ทั้งที่ยังมีสาระของข่าวประเสริฐอีกมากที่จะประกาศแก่พวกเขา นอกจากพวกศัตรูเหล่านั้นแล้ว เปาโลยังต้องต่อสู้กับพวกครูสอนเทียมเท็จที่วนเวียนไปมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนสับสนในหมู่ผู้เชื่อใหม่ ด้วยการพยายามทำลายความน่าเชื่อถือ ของเปาโลและพันธกิจของเขา คริสตจักรเมืองฟิลิปปีก็ประสบปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน
            ในพระธรรมกิจการบทที่16 ข้อ 9-40 เป็นเหตุการณ์การเดินทางออกประกาศข่าวประเสริฐครั้งที่ 2 ของเปาโลและผู้ร่วมงาน(สิลาส ทิโมธี ลูกา) กจ.16:9-12 ในเวลากลางคืน เปาโลได้นิมิตเห็นชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอ้อนวอนว่า "ขอโปรดมาช่วยพวกข้าพเจ้าในแคว้นมาซิโดเนียเถิด" 10ครั้นท่านเห็นนิมิตนั้นแล้ว เราจึงหาโอกาสทันทีที่จะไปยังแคว้น     มาซิโดเนีย ด้วยเห็นแน่ว่า พระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวแคว้นนั้น 11เหตุฉะนั้นเมื่อออกจากเมืองโตรอัส แล้วก็ลงเรือตรงไปยังเกาะสาโมธรัส และรุ่งขึ้นก็ถึงเมืองเนอาบุรี 12เมื่อออกจากที่นั่นแล้ว ก็ได้ไปยังเมืองฟีลิปปี ซึ่งเป็นเมืองเอกในเขตแคว้น       มาซิโดเนีย และเป็นอาณานิคมของโรม เราจึงพักอยู่ในเมืองนั้นหลายวัน ในการเดินทางครั้งนั้นก็ได้ ตั้งคริสตจักรเมืองฟีลิปปีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการตอบสนองต่อนิมิตที่พระเจ้าประทานให้แก่เปาโลที่เมืองโตรอัส นับว่าคริสตจักรเมืองฟีลิปปีเป็นคริสตจักรแรกในภาคพื้นยุโรป
ฟป.4:15-16 และพวกท่านชาวฟีลิปปีก็ทราบอยู่แล้วว่า การประกาศข่าวประเสริฐในเวลาเริ่มแรกนั้น มาตอนเมื่อข้าพเจ้าออกไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรใดมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในรายรับรายจ่ายเลย นอกจากพวกท่านพวกเดียวเท่านั้น 16ถึงแม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองเธสะโลนิกา พวกท่านก็ได้ฝากของมาช่วยหลายครั้งหลายหนความสัมพันธ์ระหว่าง   เปาโลกับคริสตจักรเมืองฟีลิปปี เป็นไปอย่างเหนียวแน่นด้วยทางคริสตจักรได้ให้การสนับสนุนพันธกิจของเปาโลอย่างเต็มที่
            ฟป.1:13-14 จนประจักษ์ทั่วกันในหมู่ผู้คุมและคนอื่นๆว่า การที่ข้าพเจ้าถูกจำจองนั้น ก็เพื่อพระคริสต์ 14และพี่น้องส่วนมากได้เกิดความไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องด้วยการจำจองของข้าพเจ้า และพวกเขามีใจกล้าขึ้น ที่จะกล่าวพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความกลัว เปาโลเขียนจดหมายถึงคริสตจักรฟีลิปปีเมื่อครั้งถูกคุมขังอยู่ในคุกซึ่งเชื่อว่าเป็นคุกที่กรุงโรม เอปาโพรดิทัสซึ่งเป็นคนหนึ่งในคริสตจักร ที่ถูกส่งมาให้ดูแลท่าน และนำของฝากจากคริสตจักรมามอบให้ท่านด้วย เปาโลจึงเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อขอบคุณ และหนุนใจพวกเขาในด้านความเชื่อ
          ฟป.3:1-11 สุดท้ายนี้ ขอให้พวกพี่น้องของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านซ้ำอีก ก็หาเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าไม่ และเป็นการปลอดภัยสำหรับท่านด้วย 2จงระวังพวกสุนัข จงระวังบรรดาคนที่ทำชั่ว จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง 3เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัตแท้ เป็นผู้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และอวดพระเยซูคริสต์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนัง ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเองมีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ถ้าผู้อื่นคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง 4ข้าพเจ้าก็มีมากกว่าเขาเสียอีก 5คือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล เผ่าเบนยามิน เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้น ก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติได้ 7แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ 8ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ 10ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ 11ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย
อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

วางใจในพระเจ้าเสมอ (ตอนสุดท้าย)

โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาปความโกรธเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับความเหงา ความเศร้าเสียใจ และความตื่นเต้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกถ้าพวกเรารู้สึกโกรธ เพราะมันเป็นกิริยาตอบสนองตามปกติของมนุษย์ทั่วไป บางครั้งความโกรธอาจจะเกิดจากความกลัวหรือความเจ็บปวด    พวกเราอาจจะโกรธตัวเองที่หาเรื่องยุ่งยากมาสู่ตนเอง หรือโกรธคนรอบข้างที่ทำร้ายพวกเรา หรือทำให้พวกเราผิดหวัง อฟ.4:26-27จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ 27และอย่าให้โอกาสแก่มาร ร่างกายของพวกเราคือพระวิหาร นี่เป็นเวลาที่พวกเราจะขจัดความโกรธออกไปจากวิหาร ก่อนที่ภายในวิหารซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าจะถูกทำลาย อาจเป็นไปได้ที่โกรธจนควบคุมไม่ได้ หรือโกรธฝังใจ แล้วจะเป็นอย่างไรกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทับภายใน จงปล่อยมันไป อย่าเก็บมันไว้ ก่อนที่จะเริ่มต้นวันใหม่ พวกเราต้องไม่ยอมให้โอกาสแก่มาร มารจะไม่สามารถแย่งชิงที่ประทับของพระเจ้าได้เลย
            หากพวกเราสะสมความโกรธไว้พระวิญญาณบริสุทธิ์พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวจะสามารถประทับอยู่ในพวกเราได้อย่างไร เมื่อความโกรธนั้นได้นำไปสู่การทำบาปและเมื่อพระวิญญาณพรากจากไปแล้ว พระวิหารนี้ก็เปิดช่องว่างให้มาร พระคำจึงย้ำเตือนว่าอย่าเปิดโอกาสให้แก่มารซาตาน รม.12:17-19 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี 18ถ้าเป็นได้ คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน 19ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง หลายครั้งที่ความโกรธนำมาซึ่งความแค้นและตามมาด้วยการแก้แค้น หยุดสักนิดคิดสักหน่อยว่าเราแก้แค้นเพื่อให้เกิดความยุติธรรมได้หรือไม่ ความจริงก็คือ การแก้แค้นไม่เคยช่วยให้ใครรู้สึกดีขึ้น และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เลวร้ายให้ดีขึ้นได้ สิ่งที่พวกเราควรทำคือ พยายามให้อภัย และทำใจให้สบาย ด้วยการไม่ยอมเป็นทาสของอารมณ์โกรธหรือเกลียดชัง ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกต้องการแก้แค้น ต้องไว้วางใจพระเจ้าพระองค์มีแผนการสำหรับคนพวกนี้อยู่แล้ว  รม.12:20-21 อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา 21อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี อภัย และถวายความภัคดีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า หากพวกราไม่ยอมให้อภัย ก็หมายความว่า ผู้ที่ทำร้ายพวกเรายังคงมีอำนาจเหนือพวกเราอยู่ และจะยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม กษัตริย์ดาวิดเลือกที่จะวางใจต่อพระเจ้า แทนที่จะต่อต้านพวกศัตรู พระองค์มุ่งถวายเครื่องบูชาอย่างถูกต้องตามพระบัญญัติของพระเจ้า ด้วยท่าทีที่ถูกต้องช่หน้าไหว้หลังหลอก มลค.1:7-10 ก็โดยนำอาหารมลทินมาถวายบนแท่นของเราอย่างไรล่ะ แล้วท่านว่า 'ข้าพระองค์ทั้งหลายกระทำให้มันเป็นมลทินสถานใด' ก็โดยคิดว่าโต๊ะของพระเจ้านั้นเป็นที่ดูหมิ่นอย่างไรล่ะ 8เมื่อเจ้านำสัตว์ตาบอดมาเป็นสัตวบูชา กระทำเช่นนั้นไม่ชั่วหรือ และเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่พิการหรือป่วย กระทำเช่นนั้นไม่ชั่วหรือ พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำของอย่างนั้นไปกำนัลเจ้าเมืองของเจ้าดู เขาจะพอใจเจ้าหรือ จะแสดงความชอบพอต่อเจ้าไหม 9ลองอ้อนวอนขอความชอบต่อพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงพระกรุณาต่อพวกเราดูซี ด้วยของถวายดังกล่าวมานี้จากมือของเจ้า พระองค์จะทรงชอบพอเจ้าสักคนหนึ่งหรือ พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ 10โอ อยากให้มีสักคนหนึ่งในพวกเจ้าซึ่งจะปิดประตูเสีย เพื่อว่าเจ้าจะไม่ก่อไฟบนแท่นบูชาของเราเสียเปล่า พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า เราไม่พอใจเจ้าและเราจะไม่รับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า ภายใต้พันธสัญญาใหม่นั้น วว.8:3-4 และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งถือกระถางไฟทองคำออกมายืนอยู่ที่แท่น พระเจ้าได้ทรงประทานเครื่องหอมเป็นอันมากแก่ทูตองค์นั้น เพื่อให้ถวายร่วมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวงบนแท่นทองคำ ที่อยู่หน้าพระที่นั่งนั้น 4และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า ถ้อยคำอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าเปรียบเป็นเครื่องถวายบูชาที่ดีที่สุด อธิษฐานด้วยการ ถ่อมใจ จริงใจ และสัตย์ซื่อ ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  
       สดด.4:6-8 มีคนเป็นอันมากกล่าวว่า "โอ เราอยากเห็นสิ่งดีๆ บ้าง ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเงยพระพักตร์ที่สว่างของพระองค์มาเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย" 7พระองค์ได้ประทานความชื่นบานให้แก่จิตใจของข้าพระองค์มากกว่าเมื่อได้ข้าวและน้ำองุ่นมากมาย8ข้าพระองค์จะเอนกายลงนอนหลับในความสันติ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์เท่านั้นที่ทรงกระทำให้ข้าพระองค์อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
       พระพักตร์ที่สว่างของพระองค์มาเหนือข้าพระองค์ หมายถึง ความพอพระทัยของพระเจ้า กษัตริย์ดาวิดได้ขอให้พระเจ้าที่จะสำแดงสิ่งที่ดีแก่พวกเขาโดยการอวยพรพวกเขา การทำให้พระพักตร์ของพระเจ้าทอแสงมายังประชากรของพระองค์ เป็นการเปรียบเทียบถึงการให้ความโปรดปรานของพระเจ้า และทรงสถิตอยู่กับพวกเขา  “เพราะพระองค์เท่านั้นที่ทรงกระทำให้ข้าพระองค์อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย” พวกเราต้องวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวิดชีวิตพวกเราก็จะพบกับสันติสุข แม้จะดำเนินชีวิตท่ามกลางอุปสรรคขอให้เรามุ่งมั่นในการรับใช้พระเจ้าต่อไปด้วยความเชื่อมั่น นอกจากนั้นขอให้พวกเราอธิษฐานด้วยความเชื่อ และเมื่อพวกเรากระทำอย่างนั้นสามารถเผชิญอนาคตด้วยความมั่นใจ และสันติสุขของพระเจ้าจะอยู่เหนือพวกเราดังนั้น จงวางใจในพระเจ้า...เถอะ     
อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

วางใจในพระเจ้าเสมอ (ตอนสาม)

จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา” (อฟ.6:18) วิถีทางหนึ่งที่พวกเราจะสนับสนุนผู้รับใช้ของพระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐก็ด้วยการอธิษฐาน สงครามฝ่ายวิญญาณที่คริสเตียนกำลังต่อสู้ กับขุมพลังฝ่ายวิญญาณของซาตานนั้น การอธิษฐานอย่างจริงจังจะช่วยบรรเทาลดความรุนแรงได้ ต้องเป็นการอธิษฐานในพระวิญญาณ” “อธิษฐานทุกเวลา” “ด้วยคำอธิษฐานทุกรูปแบบ” “อธิษฐานเผื่อประชากรของพระเจ้าทั้งปวง”  และเฝ้าระวังอธิษฐานในการใช้ชีวิตที่รีบเร่งในยุคปัจจุบัน ด้วยถ้อยคำอธิษฐานขอบพระคุณสั้นๆ เร็วๆ ในทุกโอกาสก็เป็นการฝึกฝนตอบสนองต่อการอธิษฐานตลอดทั้งวันจนติดเป็นนิสัยได้ การอธิษฐานเป็นความร่วมมือของพี่น้องคริสเตียนกับพระเจ้า พวกเราจะได้รับชัยชนะ ความเกียจคร้านในการอธิษฐานอย่างขะมักเขม้น จะเป็นสัญญาณของ
การยอมแพ้ต่อศัตรู
       กลับมาดูชีวิตของอับซาโลม และกษัตริย์ดาวิด สภษ.3:31-35 อย่าอิจฉาคนที่ทารุณ อย่าเลือกทางใดๆ ของเขาเลย 32เพราะคนตลบตะแลงเป็นที่เกลียดชังต่อพระเจ้า แต่คนเที่ยงธรรมอยู่ในความไว้พระทัยของพระองค์ 33   คำสาปของพระเจ้าอยู่บนเรือนของคนชั่วร้าย แต่พระองค์ทรงอำนวยพระพรแก่ที่อาศัยของคนชอบธรรม 34พระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่มักเยาะเย้ย แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนใจถ่อม 35คนฉลาดจะได้เกียรติเป็นมรดก แต่คนโง่จะได้ความอัปยศอับซาโลมจบชีวิตอย่างไร้เกียรติ และนี้เป็นคำเตือนสำหรับทุกคนที่ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเลวร้าย โดยเฉพาะต่อผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม เช่น กษัตริย์ดาวิด ในการทำสงครามกองทัพของอับซาโลมพ่ายแพ้ตัวอับซาโลมเองขี่ล่อหนีไป ด้วยผมที่ดกยาวของเขาก็ไปพันเข้ากับง่ามไม้ ของกิ่งที่อยู่ส่วนล่างของต้นไม้ใหญ่เขาห้อยติดอยู่ที่นั่น ยังมีชีวิตอยู่แต่ช่วยตัวเองไม่ได้เลย จนกระทั่งโยอาบได้ฆ่าเขาโดยใช้หอกสั้นสามอันแทงเข้าที่หัวใจเขา(2ซมอ.18:6-17) กษัตริย์ดาวิดคงจะดีใจเพราะกบฏได้ถูกปราบแล้ว ไม่ใช่เลย ในทางกลับกันพระองค์เสียพระทัยเป็นอย่างมากพระองค์เดินวนไปเวียนมาร้องไห้และตรัสว่า"โออับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ยเราอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเราเอ๋ย" (2ซมอ.18:33) ถึงแม้ว่าอับซาโลมได้กระทำทุกวิถีทางที่จะต่อสู้กับพระราชบิดา แต่กระนั้นกษัตริย์ดาวิดก็ทรงมีความคิดเพียงอย่างเดียวว่า ขอไว้ชีวิตแก่พระราชบุตรของพระองค์ 2ซมอ.18:5 พระราชารับสั่งโยอาบ อาบีชัย และอิททัยว่า "เบาๆมือกับชายหนุ่มนั้น ด้วยเห็นแก่เราเถิดคือกับอับซาโลม"พวกพลก็ได้ยินคำรับสั่งซึ่งพระราชาประทานแก่ผู้บังคับบัญชาด้วยเรื่องอับซาโลม เมื่อโยอาบขัดขืนคำสั่งของกษัตริย์ดาวิด และฆ่าอับซาโลมพระองค์จึงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก พระองค์ไม่ได้ถือโทษ โกรธ หรือแก้แค้นราชบุตรเลย คุณลักษณะนี้แหล่ะที่ทำให้กษัตริย์ดาวิดทรงเป็นบุรุษที่พระเจ้าพอพระทัย
          สดด.4:3 จงทราบเถิดว่า พระเจ้าทรงแยกธรรมิกชนไว้สำหรับพระองค์พระเจ้าทรงสดับฟังเมื่อข้าพเจ้าทูลพระองค์
       สดุดีบทที่ 4 เป็นคำอธิษฐานด้วยความรู้สึกแรงกล้าของกษัตริย์ดาวิดที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพระองค์ไว้วางใจพระเจ้าอย่างเต็มที่ พระองค์อาจจะประพันธ์บทนี้เพื่อแสดงความรู้สึกโล่งอก และขอบพระคุณพระเจ้า หลังจากที่การกบฏของอับซาโลมล้มเหลว หรือประพันธ์บทนี้โดยนึกถึงนักร้องชาวเลวี ไม่ว่าจะประพันธ์ด้วยเหตุผลใด สดุดีบทนี้ช่วยหนุนใจให้พวกเราไว้วางใจพระเจ้ามากขึ้น กษัตริย์ดาวิดได้เตือนพวกศัตรูของพระองค์ที่จะทำบาปต่อพระเจ้าโดยการต่อต้านกษัตริย์ที่รับการเจิมของพระองค์
       สดด.4: 1 ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงให้ประจักษ์ว่า ข้าพระองค์เป็นฝ่ายชอบธรรม ขอทรงโปรดตอบเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลเมื่อข้าพระองค์จนตรอก ขอพระองค์ประทานช่องทางให้ ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์และทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
       กษัตริย์ดาวิดเรียกร้องให้พระเจ้าฟังและตอบคำอธิษฐาน พระองค์ได้วิงวอนต่อพระเจ้าในฐานะ ผู้ชอบธรรมผู้ซึ่งได้รับการช่วยกู้จากความลำบากมาก่อน พระเจ้ามีความชอบธรรมในพระองค์เองพระเจ้าจะกระทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อลูกๆของพระองค์ คือการช่วยกู้พวกเขา เมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ
       สดด.4: 2-5 ท่านผู้ดีเอ๋ย ข้าพเจ้าจะต้องเสื่อมเกียรติไปอีกนานเท่าใด ท่านจะรักคำไร้ค่า และแสวงการมุสาอีกนานเท่าใด 3จงทราบเถิดว่า พระเจ้าทรงแยกธรรมิกชนไว้สำหรับพระองค์ พระเจ้าทรงสดับฟังเมื่อข้าพเจ้าทูลพระองค์ 4โกรธก็โกรธเถิด แต่ {หรือ จงเกรงกลัว และ} อย่าทำบาป จงคำนึงในใจเวลาอยู่บนที่นอนและสงบอยู่ 5จงถวายเครื่องสัตวบูชาให้ถูกต้อง และวางใจในพระเจ้า
       พวกศัตรูของกษัตริย์ดาวิดแตกต่างจากคนของพระเจ้า พวกเขาเป็นคนบาปแต่พระองค์ชอบธรรม ถ้าพวกเขาเป็นอับซาโลมและผู้ติดตามของเขา  หรือใครก็ตามที่พวกเขาเป็น พวกเขาก็ได้พยายามที่ จะเปลี่ยนเกียรติของกษัตริย์ดาวิดในฐานะกษัตริย์ที่ชอบธรรม ไปสู่ชื่อเสียงที่ไม่ดีด้วยการโกหกของพวกเขา พระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ด้วยเหตุที่พระเจ้าเลือกสรรพระองค์สำหรับจุดประสงค์พิเศษ นั่นก็หมายความว่า ความชอบธรรมของพระองค์เป็นผลลัพธ์ของการทรงเรียกจากพระเจ้าซึ่งกันพระองค์ไว้เพื่อจุดประสงค์พิเศษของพระเจ้านั้นเอง กษัตริย์ดาวิดจึงมั่นใจว่าพระเจ้าจะได้ยินคำอธิษฐานของพระองค์ ในการดำเนินชีวิตเพื่อรักษาความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าพวกเราจำเป็นต้องกล้าและวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิต สุดใจ สุดกำลังความคิด โดยเฉพาะผู้ที่กลับใจรับเชื่อใหม่ ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากคนรอบข้าง และครอบครัวของตนเองอย่างแน่นอนกล้าและวางใจสองสิ่งนี้จะหนุนใจได้ สดด.84:11-12 เพราะพระเจ้าทรงเป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่ พระองค์ทรงปูนความชอบและเกียรติ พระเจ้ามิได้ทรงหวงของดีอันใดไว้เลย จากบุคคลผู้เดินอย่างเที่ยงธรรม 12ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา บุคคลที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข  พระเจ้าทรงอวยพรคนที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ พวกเขาจะดำเนินชีวิตด้วยความยินดี และเป็นสุข
อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/