วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

ตามเรา...ตามเรา... (ตอนสอง)

แต่ก็ เป็นคนแรกที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์สามครั้ง (มธ.26:69-75 ฝ่ายเปโตร  นั่งอยู่นอกตึกที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า "แกได้อยู่กับเยซู      ชาวกาลิลีด้วยเหมือนกัน" 70แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า "ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง" 71เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ประตูบ้าน สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า "คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย" 72เปโตรจึงปฏิเสธอีกทั้งสาบานว่า "ข้าไม่รู้จักคนนั้น" 73อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า "เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าส่อตัวเอง" 74เปโตรก็สบถสาบานใหญ่ว่า "ข้าไม่รู้จักคนนั้น" ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน 75เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้ว่า "ก่อนไก่ขันเจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง" แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์ยิ่งนัก)
                        เป็นคนแรกที่หันหลังให้กับพันธกิจของพระเยซูคริสต์กลับสู่อาชีพจับปลา(ยน.21:2-3 คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าแฝด  นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคนกำลังอยู่ด้วยกัน 3ซีโมนเปโตรบอกเขาว่า "ข้าจะไปจับปลา" เขาทั้งหลายจึงพูดกับท่านว่า "เราจะไปด้วย" แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย)
                        เป็นคนแรกที่รู้ว่าเป็นพระเยซูคริสต์ ยืนที่ฝั่งทะเลแล้วรีบกระโดดลงเรือไปหา(ยน.21:5-7พระเยซูตรัสถามเขาว่า "ลูกเอ๋ย มีปลาบ้างหรือเปล่า" เขาตอบว่า "ไม่มี" 6พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง" เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมาก จนลากอวนขึ้นไม่ได้ 7สาวกคนที่พระเยซูทรงรักบอกเปโตรว่า "เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า" เมื่อเปโตรได้ยินว่า เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล
            ในข้อ 15-17 พระเยซูคริสต์ ประสงค์จะทรงเรียกให้เราเป็นผู้เลี้ยงที่แท้จริง ไม่ใช่มาเป็นลูกจ้างในการเลี้ยงแกะ พระคำทั้งสามข้อนี้ พระองค์ทรงกำชับเล่าสาวกโดยเฉพาะ เปโตร ให้ดูแลแกะของพระองค์ 
                        เจ้ารักเราหรือ” พระองค์ตรัสย้ำกับ เปโตรถึง สามครั้ง เพราะชีวิตในการเป็นสาวกของเปโตรมีทั้ง ล้มเลิก และกลับใจ ตลอดสามปีที่ติดตามพระเยซูคริสต์  เจ้ารักเรามากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ?พระเยซูคริสต์ตรัสในขณะที่เปโตรหมดความร้อนร้นในการรับใช้พระเจ้า กลับไปทำอาชีพเดิมแทน ครั้งเมื่อเขายังรักพระองค์เขาได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดพระองค์ และร่วมพันธกิจกับพระองค์ นั้นคือการเลี้ยงแกะของพระองค์
                        ในทำนองเดียวกันถ้าพระองค์ถามเราในขณะนี้ “ทุกวันนี้เรารักพระองค์มากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ?เรามีคำตอบให้พระองค์หรือยัง!!!!!
                        การที่พระเยซูคริสต์ถามย้ำแล้วย้ำอีก ไม่ใช่ถามเพื่อกดดันเปโตรแต่ ย้ำให้แน่ใจว่า การทำพันธกิจอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้มาจากพื้นฐานความรักพระเจ้า พันธกิจนั้นอาจจะถูกทิ้งและละเลยไป ทำให้หันกลับไปทำสิ่งเดินๆ เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์ถามเปโตรว่า เจ้ารักเรามากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ?
                        “รัก” ภาษากรีก ที่บรรยายถึงคำว่ารักนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า มีด้วยกัน 4 คำ
นั้นคือ 1.เอโรส(Eros) 2.สเตอร์เก(Storge) 3.ฟีเลย(Philios) 4.อากาเป้(Agape) ทั้งสี่คำมีความหมายที่แปลว่า รักเช่นเดียวกัน แต่บริบทของการสื่อความหมายนั้นแตกต่างกัน
                                    1.เอโรส(Eros) เป็นความรักที่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง อยากเป็นเจ้าของครอบครอง และเรียกร้องให้คนที่เขารัก ตอบสนองต่อเขาทั้งทางจิตใจ และร่างกาย คนกรีก จะกำหนดคำนี้ให้ใช้กับ ความรักที่มีขีดจำกัดเฉพาะ ความใคร่เท่านั้น เป็นความรักระหว่างหนุ่มสาว
                                    2.สเตอร์เก(Storge) เป็นความรักที่ไม่ต้องสร้าง แต่จะมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ซึ่งจะผูกพันกันน้อยหรือมากนั้น ขึ้นอยู่กับการมีเวลาอยู่ด้วยกัน ความรักเช่นนี้เป็นความรักที่อบอุ่น ตัดไม่ขาด และไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นความรักระหว่าง พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง หรือญาติ
                                    3.ฟีเลย(Philios) ความรักประเภทนี้คนกรีกบอกว่า เป็นเหมือนเมล็ดพืชที่สองคนช่วยกันปลูก และช่วยกันดูแล รดน้ำป้องกันสิ่งที่มารบกวน จนกลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่โตขึ้นมา และก็จะกล้าเปิดเผยตัวจริงของเขาเอง ให้อีกฝ่ายโดยไม่ปกปิด อย่างนี้เขาเรียกว่า รักแบบสามีภรรยา หรือเพื่อนสนิท ความรักที่อบอุ่น ความรักใคร่ผูกพัน รักใคร่อย่างทะนุถนอมรักอย่างดูแลเอาใจใส่
                                    4.อากาเป้(Agape) ความรักประเภทนี้คนกรีกเรียกว่า "รักบริสุทธิ์ รักที่ยิ่งใหญ่" ซึ่งความรักเช่นนี้เป็นความรักที่ตอบสนอง ต่อจิตใจส่วนลึก ของมนุษย์ทุกคน เป็นความรักที่ไม่มีข้อแม้ และรักโดยไม่ต้องมีอะไร มากระตุ้น ให้ต้องรัก เป็นความรักที่พร้อมจะเข้าใจในความผิดพลาด และพร้อมที่จะให้อภัย เป็นความรักของคริสเตียนที่ต้องปฏิบัติในชีวิตทั้งความคิดและการกระทำ เป็นความรักไม่จำกัดขอบเขตเฉพาะญาติมิตรหรือคนที่ใกล้ชิดเท่านั้น แต่ความรักนี้ ต้องแผ่ขยายออกไปจากกลุ่มของตนเอง ออกไปสู่เพื่อนบ้าน ไปสู่คนทั้งโลก และแม้กระทั่งศัตรู
#######################

 อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น