วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

โปรดระวัง...เถอะ (ตอนสุดท้าย)


          ฟป.3:1-1 สุดท้ายนี้ ขอให้พวกพี่น้องของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านซ้ำอีก ก็หาเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าไม่ และเป็นการปลอดภัยสำหรับท่านด้วย
            ในฟีลิปปี บทที่3 เป็นบทที่เปาโลเตือนสติคริสตจักรเมืองฟีลิปปี เกี่ยวกับการรุกรานของพวกถือลัทธิยิว โดยการถือรักษาธรรมบัญญัติ และภาระต่างๆ ที่บันทึกไว้ในนั้น “ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเปาโลกำชับให้พี่น้องเมืองฟีลิปปีชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อป้องกันผู้เชื่อเหล่านี้ และยินดีที่พูดซ้ำๆ ซึ่งจะขจัดความคิดที่ผิดร้ายแรงออกจากกลุ่มคริสเตียนเมืองฟีลิปปี
            ฟป.3:2-3 จงระวังพวกสุนัข จงระวังบรรดาคนที่ทำชั่ว จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง3เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัตแท้ เป็นผู้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และอวดพระเยซูคริสต์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนัง ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเองมีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ถ้าผู้อื่นคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง        
            “จงระวังพวกสุนัข จงระวังบรรดาคนที่ทำชั่ว จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง เปาโลเตือนให้ระวังคนทั้งสามประเภทนี้ให้ดี จริงแล้วคนทั้งสามนี้ก็คือ พวกอาจารย์สอนที่ถือความเชื่อแบบยิวที่แอบเข้ามาในคริสตจักร เปาโลมองพวกนี้ว่าเป็น “สุนัข” เป็น “คนทำชั่ว” แม้ว่าสุนัขในปัจจุบันจะถูกมองในแง่ดี แต่เมื่อย้อนไปในสมัยนั้นมักนำมาเปรียบเทียบกับคนที่ประพฤติไม่ดี ในพันธสัญญาเดิมมักเรียก ผู้ชาย ที่บูชารูปเคารพ และล่วงประเวณีต่อหน้ารูปเคารพว่า "สุนัข"(ฉธบ.23:17-18  "ผู้หญิงชาวอิสราเอลนั้น อย่าให้คนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาสี {หญิงผู้ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา} อย่าให้บุตรชายอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาส {ชายผู้ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา} 18ท่านอย่านำค่าจ้างของเทวทาสี หรือค่าจ้างจากหมา {ชายที่ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา} มาในโบสถ์ ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นเงินแก้บนอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะสิ่งทั้งสองนี้เป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน) ดังนั้น สุนัข คือ คนที่ไม่ได้ดำเนินในวิถีแห่งพระเจ้า แต่นับถือสิ่งที่มืด ทำสิ่งที่ชั่วช้า ลามก อนาจาร พวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง คือกลุ่มคนที่สนับสนุนการเข้าสุหนัต เปาโลต้องการเตือนพี่น้องที่เมืองฟีลิปปีให้ระวังพวกอาจารย์สอนที่ถือความเชื่อแบบยิว ที่สอนว่าแม้แต่คริสเตียนที่เป็นคนต่างชาติก็ต้องเข้าสุหนัต และดำเนินชีวิตใต้พระบัญญัติ สำหรับอาจารย์พวกนี้ความเชื่อแบบคริสเตียน เป็นส่วนเสริมของความเชื่อแบบยิว
            คริสตจักรยุคแรกถือกำเนิดแยกออกมาจากความเชื่อแบบยิว จึงได้รับอิทธิพลแบบยิวอย่างมาก เปาโลจึงชี้ให้เห็นว่าพวกเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัต ที่นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ ไม่ยอมไว้ใจในเนื้อหนัง อันเป็น “สัญลักษณ์ของความเชื่อแบบยิว และ ยังดำเนินชีวิตภายใต้พระบัญญัติด้วยคือ การเข้าสุหนัต พิธีกรรมนี้เป็นสิ่งบ่งบอกว่าได้กลายประชากรของพระเจ้าซึ่งเป็นเพียงลักษณะเฉพาะทางร่างกายเท่านั้น
            เปาโลชี้ให้เห็นว่าพวกเราต้อง “นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ การที่พวกเราจะนมัสการพระเจ้าได้นั้น ไม่ได้เป็นไปด้วยพิธีกรรมใดๆทั้งสิ้น แต่พวกเราต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยน.4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง ) กล่าวโดยสรุป ความเชื่อแบบยิวยังติดยึดอยู่กับเนื้อหนังและพิธีกรรมต่างๆ แต่ความเชื่อแบบคริสเตียนนั้นให้ความสำคัญกับ “จิตวิญญาณ
            ฟป.3:4-7 ข้าพเจ้าก็มีมากกว่าเขาเสียอีก 5คือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล เผ่าเบนยามิน เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้น ก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติได้ 7แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์
            เปาโลเข้าใจเรื่องความเชื่อแบบยิวเป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นชาวยิวโดยกำเนิด ท่านได้รับการอบรมฝึกฝนในความเชื่อแบบยิวอย่างดี จนเคร่งครัดถือตามธรรมบัญญัติทุกประการ ท่านคิดว่าคริสเตียนเป็นพวกสอนผิดและหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะเหตุว่าพระเยซูคริสต์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระเมสสิยาห์ เปาโลจึงสรุปเอาเองว่าพระเยซูคริสต์อ้างพระองค์อย่างเทียมเท็จ ยิ่งกว่านั้นท่านเห็นว่าคริสเตียนเป็นตัวอันตรายทางการเมือง เป็นกลุ่มที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิวกับผู้นำรัฐบาลโรมันไม่มั่นคง หากพวกเรามองอย่างผิวเผินดูเหมือนว่าเปาโลกำลังเขียนอวดความสำเร็จของตนเอง แต่แท้ที่จริง ท่านกำลังทำสิ่งตรงกันข้ามคือ แสดงให้เห็นว่าการกระทำของมนุษย์ถึงแม้จะน่าประทับใจแค่ไหน ก็ไม่สามรถทำให้คนนั้นรอด หรือมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าได้ ภูมิหลังของเปาโลเป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งทั้งทาง การเลี้ยงดู สัญชาติ ครอบครัว มรดก ความเคร่งครัดในความเชื่อแบบยิว แต่เมื่อเปาโลกลับใจเชื่อพระคริสต์ สิ่งทั้งหมดที่กล่าวนี้ไม่มีความจำเป็นเลย ตั้งแต่ท่านอยู่ในพระคุณของพระคริสต์ ท่านไม่ได้พึ่งการกระทำของตนเองเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะความรอดนั้นมาโดยความเชื่อในพระคริสต์
            “สิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์  นั่นคือ ความน่าเชื่อถือ เกียรติภูมิ และความสำเร็จ เปาโลพบว่าการกระทำแบบนี้จะไม่ทำให้คนบาปเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าได้เลย ตรงกันข้ามกลับเป็นอุปสรรคขัดขวาง “สิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนไร้ประโยชน์เมื่อท่านรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดอย่าให้อดีตเป็นสิ่งกีดขว้างความสัมพันธ์ ระหว่าง พวกเรากับพระคริสต์                                                          
         ฟป.3:8-9 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ 
            หลังจากที่เปาโลได้ใคร่ครวญทุกสิ่งที่ท่านทำสำเร็จในชีวิตแล้ว ท่านกล่าวว่า “สิ่งสารพัดไร้ประโยชน์” เมื่อเทียบกับการได้รู้จักพระคริสต์ ท่านจึงทิ้งความตั้งใจแบบนั้นถือว่าการกระทำอย่างนั้นเป็นเหมือน “มูลฝอย” และหันไปรับเอาของประทานอันเลิศประเสริฐคือ ความชอบธรรมของพระเจ้าโดยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์     พวกเราเองก็ควรตระหนัก ไม่ว่าพวกเราจะรักษาธรรมบัญญัติ พัฒนาตนเอง มีวินัย หรือพยายามปฏิบัติศาสนกิจมากเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่อาจทำให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ความชอบธรรมมาจากพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าทรงทำให้พวกเราเป็นผู้ชอบธรรมโดยการวางใจในพระคริสต์ พระองค์ประทานความชอบธรรมอันสมบูรณ์ของพระองค์มาแทนที่ความบาป และความบกพร่องของพวกเรา     
            ฟป.3:10-11 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ 11ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย
            เปาโลคิดว่า แม้ท่านตายและเป็นขึ้นมากับพระองค์แล้ว แต่ก็ยังอยาก “ตั้งอารมณ์ตาย” นั่นความหมายว่า ในแต่ละวันท่านอยากให้ความปรารถนาของตัวเองตายเสีย จะได้มีชีวิตใหม่อยู่เสมอ และชนะความบาปทุกวัน
 
ประสบการณ์ในพระเจ้า 
ต้องอาศัยความเชื่อที่แท้จริง 
เราต้องกล้าที่จะเชื่อและวางใจในพระเจ้า
เราจึงจะได้พบคุณค่าแห่งความเชื่อ 

แล้วเราจะรู้ได้ว่าพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น