ฟป.3:1-1 สุดท้ายนี้
ขอให้พวกพี่น้องของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
การที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านซ้ำอีก ก็หาเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าไม่
และเป็นการปลอดภัยสำหรับท่านด้วย
ในฟีลิปปี บทที่3
เป็นบทที่เปาโลเตือนสติคริสตจักรเมืองฟีลิปปี
เกี่ยวกับการรุกรานของพวกถือลัทธิยิว โดยการถือรักษาธรรมบัญญัติ และภาระต่างๆ
ที่บันทึกไว้ในนั้น “ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า” เปาโลกำชับให้พี่น้องเมืองฟีลิปปีชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อป้องกันผู้เชื่อเหล่านี้ และยินดีที่พูดซ้ำๆ
ซึ่งจะขจัดความคิดที่ผิดร้ายแรงออกจากกลุ่มคริสเตียนเมืองฟีลิปปี
ฟป.3:2-3 จงระวังพวกสุนัข
จงระวังบรรดาคนที่ทำชั่ว จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง3เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัตแท้
เป็นผู้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และอวดพระเยซูคริสต์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนัง
ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเองมีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ถ้าผู้อื่นคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง
“จงระวังพวกสุนัข จงระวังบรรดาคนที่ทำชั่ว
จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง” เปาโลเตือนให้ระวังคนทั้งสามประเภทนี้ให้ดี
จริงแล้วคนทั้งสามนี้ก็คือ
พวกอาจารย์สอนที่ถือความเชื่อแบบยิวที่แอบเข้ามาในคริสตจักร เปาโลมองพวกนี้ว่าเป็น
“สุนัข” เป็น “คนทำชั่ว” แม้ว่าสุนัขในปัจจุบันจะถูกมองในแง่ดี
แต่เมื่อย้อนไปในสมัยนั้นมักนำมาเปรียบเทียบกับคนที่ประพฤติไม่ดี
ในพันธสัญญาเดิมมักเรียก ผู้ชาย ที่บูชารูปเคารพ และล่วงประเวณีต่อหน้ารูปเคารพว่า
"สุนัข"(ฉธบ.23:17-18
"ผู้หญิงชาวอิสราเอลนั้น อย่าให้คนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาสี
{หญิงผู้ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา} อย่าให้บุตรชายอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาส
{ชายผู้ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา} 18ท่านอย่านำค่าจ้างของเทวทาสี
หรือค่าจ้างจากหมา {ชายที่ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา}
มาในโบสถ์ ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นเงินแก้บนอย่างหนึ่งอย่างใด
เพราะสิ่งทั้งสองนี้เป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน) ดังนั้น สุนัข
คือ คนที่ไม่ได้ดำเนินในวิถีแห่งพระเจ้า แต่นับถือสิ่งที่มืด ทำสิ่งที่ชั่วช้า
ลามก อนาจาร “พวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง”
คือกลุ่มคนที่สนับสนุนการเข้าสุหนัต เปาโลต้องการเตือนพี่น้องที่เมืองฟีลิปปีให้ระวังพวกอาจารย์สอนที่ถือความเชื่อแบบยิว
ที่สอนว่าแม้แต่คริสเตียนที่เป็นคนต่างชาติก็ต้องเข้าสุหนัต
และดำเนินชีวิตใต้พระบัญญัติ สำหรับอาจารย์พวกนี้ความเชื่อแบบคริสเตียน เป็นส่วนเสริมของความเชื่อแบบยิว
คริสตจักรยุคแรกถือกำเนิดแยกออกมาจากความเชื่อแบบยิว จึงได้รับอิทธิพลแบบยิวอย่างมาก
เปาโลจึงชี้ให้เห็นว่าพวกเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัต ที่นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ
และชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ ไม่ยอมไว้ใจในเนื้อหนัง อันเป็น “สัญลักษณ์” ของความเชื่อแบบยิว และ ยังดำเนินชีวิตภายใต้พระบัญญัติด้วยคือ
การเข้าสุหนัต พิธีกรรมนี้เป็นสิ่งบ่งบอกว่าได้กลายประชากรของพระเจ้าซึ่งเป็นเพียงลักษณะเฉพาะทางร่างกายเท่านั้น
เปาโลชี้ให้เห็นว่าพวกเราต้อง
“นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ” และชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์
การที่พวกเราจะนมัสการพระเจ้าได้นั้น ไม่ได้เป็นไปด้วยพิธีกรรมใดๆทั้งสิ้น
แต่พวกเราต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยน.4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ
และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” ) กล่าวโดยสรุป
ความเชื่อแบบยิวยังติดยึดอยู่กับเนื้อหนังและพิธีกรรมต่างๆ
แต่ความเชื่อแบบคริสเตียนนั้นให้ความสำคัญกับ “จิตวิญญาณ”
ฟป.3:4-7 ข้าพเจ้าก็มีมากกว่าเขาเสียอีก 5คือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต
ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล เผ่าเบนยามิน เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู
ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้น
ก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ
ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติได้ 7แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์
เปาโลเข้าใจเรื่องความเชื่อแบบยิวเป็นอย่างดี
เพราะท่านเป็นชาวยิวโดยกำเนิด ท่านได้รับการอบรมฝึกฝนในความเชื่อแบบยิวอย่างดี
จนเคร่งครัดถือตามธรรมบัญญัติทุกประการ ท่านคิดว่าคริสเตียนเป็นพวกสอนผิดและหมิ่นประมาทพระเจ้า
เพราะเหตุว่าพระเยซูคริสต์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระเมสสิยาห์
เปาโลจึงสรุปเอาเองว่าพระเยซูคริสต์อ้างพระองค์อย่างเทียมเท็จ
ยิ่งกว่านั้นท่านเห็นว่าคริสเตียนเป็นตัวอันตรายทางการเมือง
เป็นกลุ่มที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิวกับผู้นำรัฐบาลโรมันไม่มั่นคง หากพวกเรามองอย่างผิวเผินดูเหมือนว่าเปาโลกำลังเขียนอวดความสำเร็จของตนเอง
แต่แท้ที่จริง ท่านกำลังทำสิ่งตรงกันข้ามคือ
แสดงให้เห็นว่าการกระทำของมนุษย์ถึงแม้จะน่าประทับใจแค่ไหน ก็ไม่สามรถทำให้คนนั้นรอด
หรือมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าได้ ภูมิหลังของเปาโลเป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งทั้งทาง
การเลี้ยงดู สัญชาติ ครอบครัว มรดก ความเคร่งครัดในความเชื่อแบบยิว
แต่เมื่อเปาโลกลับใจเชื่อพระคริสต์ สิ่งทั้งหมดที่กล่าวนี้ไม่มีความจำเป็นเลย
ตั้งแต่ท่านอยู่ในพระคุณของพระคริสต์
ท่านไม่ได้พึ่งการกระทำของตนเองเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะความรอดนั้นมาโดยความเชื่อในพระคริสต์
“สิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์” นั่นคือ ความน่าเชื่อถือ เกียรติภูมิ
และความสำเร็จ เปาโลพบว่าการกระทำแบบนี้จะไม่ทำให้คนบาปเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าได้เลย
ตรงกันข้ามกลับเป็นอุปสรรคขัดขวาง “สิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว” สิ่งเหล่านี้ล้วนไร้ประโยชน์เมื่อท่านรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดอย่าให้อดีตเป็นสิ่งกีดขว้างความสัมพันธ์ ระหว่าง พวกเรากับพระคริสต์
ฟป.3:8-9
ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์
เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด
และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์
ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ
แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์
เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ
หลังจากที่เปาโลได้ใคร่ครวญทุกสิ่งที่ท่านทำสำเร็จในชีวิตแล้ว
ท่านกล่าวว่า “สิ่งสารพัดไร้ประโยชน์”
เมื่อเทียบกับการได้รู้จักพระคริสต์ ท่านจึงทิ้งความตั้งใจแบบนั้นถือว่าการกระทำอย่างนั้นเป็นเหมือน
“มูลฝอย” และหันไปรับเอาของประทานอันเลิศประเสริฐคือ
ความชอบธรรมของพระเจ้าโดยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ พวกเราเองก็ควรตระหนัก ไม่ว่าพวกเราจะรักษาธรรมบัญญัติ พัฒนาตนเอง
มีวินัย หรือพยายามปฏิบัติศาสนกิจมากเพียงใดก็ตาม
สิ่งเหล่านี้ไม่อาจทำให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ความชอบธรรมมาจากพระเจ้าเท่านั้น
พระเจ้าทรงทำให้พวกเราเป็นผู้ชอบธรรมโดยการวางใจในพระคริสต์
พระองค์ประทานความชอบธรรมอันสมบูรณ์ของพระองค์มาแทนที่ความบาป
และความบกพร่องของพวกเรา
ฟป.3:10-11 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์
และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น
และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ 11ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย
เปาโลคิดว่า แม้ท่านตายและเป็นขึ้นมากับพระองค์แล้ว
แต่ก็ยังอยาก “ตั้งอารมณ์ตาย” นั่นความหมายว่า
ในแต่ละวันท่านอยากให้ความปรารถนาของตัวเองตายเสีย จะได้มีชีวิตใหม่อยู่เสมอ
และชนะความบาปทุกวัน
ประสบการณ์ในพระเจ้า
ต้องอาศัยความเชื่อที่แท้จริง
เราต้องกล้าที่จะเชื่อและวางใจในพระเจ้า
เราจึงจะได้พบคุณค่าแห่งความเชื่อ
แล้วเราจะรู้ได้ว่าพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่
อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น